ลงนามเซ็นไล่ออก “บิ๊กโจ๊ก” แล้ว “บิ๊กต่าย” สะบัดปากกาเชือดพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาระดับรอง ผบก. รอง ผกก. และ 2 ชั้นประทวน รวม 5 นาย เป็นไปตามคณะกรรมการพิจารณาโทษเสนอ สรุปพบทั้งหมดผิดวินัยร้ายแรงเกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์และถูกศาลอาญาออกหมายจับคดีฟอกเงิน ชี้ทั้ง 5 นายยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งนี้ต่อ ก.พ.ค.ตร.ได้ภายใน 30 วัน

กรณีคณะกรรมการ ตร.เสนอความเห็น ผบ.ตร. ให้มีคำสั่งไล่ออก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. ถูกกล่าวหากระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามที่พนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีผู้ร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ 22 คน และความผิดตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน พบเครือข่ายเจ้าของเว็บไซต์พนัน มีเส้นทางการเงินเกี่ยวพันข้าราชการตำรวจหลายนายรวมถึง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ศาลอาญามีคำสั่งออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ วันที่ 2 เม.ย.67 ต่อมา พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช อดีตรอง ผบ.ตร. ขณะนั้นเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ตรวจสอบ พบความผิดวินัยเข้าข่ายร้ายแรง ก่อน พล.ต.อ.สราวุฒิ เกษียณราชการ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐมอบหมาย พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. เป็นประธานสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อและมีความเห็นเสนอ ผบ.ตร. ก่อนมอบให้คณะกรรมการพิจารณาเพื่อเสนอแนะการลงโทษที่มี พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง เป็นประธาน สรุปความเห็น ให้ไล่ออกจากราชการ งดบำเหน็จบำนาญ หลังจากนี้จะเสนอความเห็นให้ ผบ.ตร.ลงนาม

ล่าสุดวันที่ 11 มี.ค. มีรายงานว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ลงนามคำสั่งไล่ออก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ตามคณะกรรมการพิจารณาเพื่อเสนอแนะการลงโทษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.อาวุโส สูงสุดเป็นประธาน มี รอง ผบ.ตร.ทุกคน และจเรตำรวจแห่งชาติเป็นกรรมการ ร่วมพิจารณาโทษวินัยร้ายแรงของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ได้เสนอแนะไปคือให้ไล่ออก แต่ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์สามารถอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) หาก ก.พ.ค.ตร.ยืนตามคณะกรรมการวินัย พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยังใช้สิทธิฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด หากศาลปกครองสูงสุดยืนตาม ก.พ.ค.ตร.
จะทำให้คดีวินัยถึงที่สุดเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาถอดยศ ตำรวจต่อไป

...

ทั้งนี้มีรายงานว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งที่ 157/2568 ลงวันที่ 11 มี.ค.68 เรื่องลงโทษไล่ข้าราชการตำรวจออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.2567 มีรายชื่อดังนี้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รอง ผบก.ภ.จ.สงขลา พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รอง ผกก.สส.สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผบ.หมู่ (ทำหน้าที่จราจร) งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1 กก.6 บก.จร. และ ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผบ.หมู่ งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. เนื่องจากมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ชื่อ BNKMASTER และถูกดำเนินคดีอาญา ตามคดีอาญาที่ 391/2566 ของ สน.เตาปูน ถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐานสมคบ โดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งเป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ม.112 (6) (9) ประกอบ ม.111 (1) (2) (15) และ (16)

กรณีนี้ได้ผ่านกระบวนการสอบสวนทางวินัยตามขั้นตอนของกฎหมาย คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของข้าราชการตำรวจทั้ง 5 นาย เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงมีมติเห็นควรลงโทษไล่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล กับพวกรวม 5 นายออกจากราชการ และคณะกรรมการพิจารณาเพื่อเสนอแนะการลงโทษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 7 มี.ค.2568 แล้วมีมติเห็นควรลงโทษไล่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล กับพวกรวม 5 นาย ออกจากราชการ เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ผู้ถูกลงโทษสามารถอุทธรณ์คำสั่งนี้ ยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ สามารถทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครอง หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่ วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อไป

ด้าน พล.ต.ท.อาชยน ไกรทองโฆษก ตร.เปิดเผยว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ลงนามในคำสั่งไล่ออกจากราชการ ของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. กับพวกรวม 5 นาย ถือเป็น ตามขั้นตอนกฎหมาย กระบวนการดังกล่าวนั้นใช้บังคับ กับตำรวจทุกนายที่ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง หากผลสอบสวนคณะกรรมการเห็นว่ามีมูล จะเสนอให้หัวหน้าหน่วยที่มีอำนาจพิจารณาสั่งลงโทษมีความเห็น หากเห็นชอบจะสั่งตั้งคณะกรรมการเสนอแนะการลงโทษ เพื่อเสนอแนะให้ความเห็นว่าจะลงโทษอย่างไร หากคณะกรรมการมีความเห็นให้ออกจากราชการ จะเข้าสู่ขั้นตอนการเสนอหัวหน้าหน่วยเพื่อมีความเห็นและลงนามออกคำสั่งให้ออกจากราชการ เมื่อมีคำสั่งแล้วจะรายงานการลงโทษไปยังคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) รับทราบ ก.ตร.จะเห็นชอบหรือเห็นว่ามีเหตุอันสมควรจะสั่งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ทั้งสิ้น

โฆษก ตร.กล่าวว่า นับแต่วันที่ ผบ.ตร.ลงนามคำสั่งมีผล ผู้ถูกกล่าวหาสามารถอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ได้ใน 30 วัน ก.พ.ค.ตร.มีกำหนดระยะเวลาพิจารณา 120 วัน ขยายเวลาได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 60 วัน รวมทั้งสิ้น 240 วัน หาก ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัยเป็นคุณกับผู้ถูกกล่าวหา อุทธรณ์ฟังขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องเรียกผู้ถูกกล่าวหากลับเข้ารับราชการภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ ก.พ.ค. ตร.มีคำวินิจฉัย หาก ก.พ.ค.ตร.วินิจฉัยเป็นโทษ ยืนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ให้ไล่ออกจากราชการ ผู้ถูกกล่าวหาสามารถฟ้องศาลปกครองสูงสุดในระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ ก.พ.ค.ตร.วินิจฉัย และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเป็นที่สุด ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดว่าคำสั่งลงโทษไล่ออกของ ผบ.ตร.เป็นไปตามกฎหมายถูกต้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ จะเห็นว่าทุกกระบวนการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการมา ล้วนเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และกฎหมายยังเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์คำสั่งต่อ ก.พ.ค.ตร. หรือฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้อีก ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้โต้แย้ง สามารถต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เป็นสิทธิขั้นตอนตามกฎหมาย

...

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่