คอลัมน์ “คุยกับผู้อ่าน” ใน “หมอชาวบ้าน” ฉบับเดือนมีนาคม 2568 นพ.สุรเกียรติ อาชานุภาพ เขียนเรื่อง “ฝึกสติให้แข็งแรงมั่นคง” ชื่อเรื่องทั้งตรงใจ และสะดุดใจผม...โครมใหญ่

ใครก็ตาม...ที่เคยทำสมาธิภาวนา ควบคุมจิตใจจนอยู่ในข่าย “ไม่วอกแวก ฟุ้งซ่าน” มาบ้าง จะรู้ดี

หากทิ้งช่วงเวลาทำสมาธิไปนานๆ ภาษาบางคนอาจใช้คำว่า “จิตตก” ความวอกแวก ฟุ้งซ่าน ที่ว่าก็มักกลับมาหาอีก...ง่ายๆ

อาการทางใจที่อาจถึงขั้น “ป่วยอย่างนี้...ผมเองก็เคยคิด น่าจะมีหมอสักท่าน...ช่วยรักษา”

แต่วิธีรักษาของหมอสมัยใหม่...จะเข้าลักษณะโรคชาววัด

ที่โบราณว่า ลางเนื้อชอบลางยา หรือไม่ อย่างไร...

มีวิธีเดียว ก็ต้องลองยาของท่านดู

คุณหมอสุรเกียรติเริ่มต้นว่า...

ทำอย่างไรเราจะรักษาพลังสติที่เกิดขึ้นจากการฝึกสติให้คงอยู่อย่างต่อเนื่องไว้ได้?

คือคำถามที่มักจะได้ยินจากผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัด หรือการเข้าค่ายเจริญสติอยู่บ่อยๆ

เนื่องเพราะพลังสติที่เจริญขึ้นจากการปลีกวิเวกฝึกสติอย่างเข้มข้นเป็นครั้งคราวนั้น มักจะจางหายไปเมื่อกลับมาอยู่ในโลกปกติที่มีความวุ่นวายและเร่งรีบ ก็จะถูกอารมณ์ครอบงำ จนเกิดความเครียดความวุ่นวายใจเช่นเดิม

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะชีวิตเรามักจะถูกสัญชาตญาณ และอารมณ์ครอบงำ เนื่องเพราะเรามี “จิตไว” อันเกิดจากสมองส่วนหลัง (สมองตะกวด) ซึ่งทำหน้าที่ด้านสัญชาตญาณของการเอาตัวรอด

และสมองส่วนกลาง “สมองสุนัข” ซึ่งทำหน้าที่ด้านอารมณ์ ทำให้เรามักทำอะไรด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ ก่อนที่สติปัญญาและเหตุผลจะตามมาได้ทัน

สติปัญญาและเหตุผลเกิดจากการทำหน้าที่ของสมองส่วนหน้า (สมองมนุษย์) ซึ่งเป็น “จิตช้า” อันทำงานได้ช้ากว่า “สมองตะกวด” และ “สมองสุนัข”

...

การจะมีสติแก่กล้ามั่นคงนั้น ต้องอาศัยการฝึกสติอย่างต่อเนื่อง จึงจะเกิด “วงจรสติอัตโนมัติ” ในสมองส่วนหน้า (สมองมนุษย์)

ช่วยให้ทำอะไร ก็มีสติอยู่ทุกขณะ

หากปรารถนามีสติอัตโนมัติ พึงเรียนรู้และหมั่นฝึกสติด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

ทำการศึกษาและฝึกปฏิบัติบ่อยๆจนเข้าใจถึงกลไกสมอง และจิตใจคน

ยืนหยัดบริหารร่างกายและฝึกจิตใจเป็นประจำทุกวัน ให้สมองส่วนหน้า (ซึ่งเป็นศูนย์แห่งสติ ปัญญา ความมีเหตุผล จริยธรรม คุณธรรม) เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้น

ฝึกฟังคนด้วยสติ ด้วยจิตที่ “นิ่ง-ช้า-ใส-ตื่น=รู้”

ฝึกเข้าใจคนอื่นก่อน คือ หมั่นเอาใจเขามาใส่ใจเรา

ฝึกมองตน และทบทวนตนด้วยความใคร่ครวญ ไตร่ตรอง สะท้อนคิดบ่อยๆ

รวมทั้งการเขียนบันทึกประจำวัน ซึ่งเป็นการกระตุ้น “ต่อมรู้ตน” (สมองส่วนที่อยู่ตรงด้านของสมองส่วนหน้า) ให้แข็งแรง ตามรู้

ตามคิด อารมณ์ ความรู้สึก จุดอ่อน จุดแข็ง เป้าหมายชีวิตของตน

ไม่ว่าจะทำอะไร หรือเรียนอะไร หมั่นฝึกทบทวน หลังจบกิจกรรมบ่อยๆว่ามีจุดสำเร็จเล็กๆอะไรที่น่าชื่นชม และมีจุดอ่อนหรือโอกาสพัฒนาอะไร ที่ต้องลงมือทำให้ดียิ่งๆขึ้นไป...

“ยาขนานของหมอ” มีแค่นี้ สำหรับผมลางเนื้อผมชอบลางยาของหมอขนานนี้เป็นที่สุด จึงอยากบอกต่อให้เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย...ได้ลองใช้ยาขนานนี้บ้าง เผื่อโรคทุกข์เรื้อรังที่รุมเร้า จะทุเลาเบาลง.


กิเลน ประลองเชิง

คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม