
ทหารพม่าเผาหมู่บ้าน ‘คนไทยพลัดถิ่น’ หนีตาย จี้รัฐไทยเร่งช่วยเหลือ
ช่วงเช้าของวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดเหตุการณ์ฺ ‘ทหารพม่า’ จุดไฟเผาบ้านในหมู่บ้านสิงขร เขตตะนาวศรี ประเทศพม่า ซึ่งที่แห่งนี้เป็น ‘ชุมชนคนไทยพลัดถิ่น’ เนื่องจากทหารพม่าเชื่อว่ามีฝ่ายต่อต้านคือทหารกะเหรี่ยง KNU และ PDF หลบซ่อนอยู่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้เพียง 3 วัน ทหารพม่าได้จุดไฟเผาหมู่บ้านสิงขรไปแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้บ้านเรือน 4-5 หลังวอดวาย นอกจากนี้ ทหารพม่ายังใช้โดรนและเครื่องบินทิ้งระเบิดรอบบริเวณหมู่บ้าน รวมทั้งวัดสิงขรวรารามซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ ทำให้หลังคาวัดเสียหายอีกด้วย
สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่า ชาวสิงขรกว่า 200-300 ครัวเรือน ต่างต้องหนีตายกันไปคนละทิศ บ้างก็อพยพผ่านช่องทางธรรมชาติ เพื่อมาขอหลบภัยในบ้านญาติฝั่งไทย (ซึ่งหากพบกองกำลังพม่าระหว่างอพยพ โอกาสรอดถือว่าน้อยมาก) บ้างก็หลบซ่อนตัวในป่าตามแนวตะเข็บชายแดน และบ้างก็ขาดแคลนอาหารจนต้องแอบมุดกลับเข้าไปหาอาหารในหมู่บ้าน ที่ตอนนี้ควบคุมเบ็ดเสร็จโดยทหารพม่า
จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน หรือหน่วยงานไทยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแต่อย่างใด
คนไทยในสิงขร คือใคร?
‘บ้านสิงขร’ ตั้งอยู่ที่ตำบลตะนาวศรี อำเภอตะนาวศรี จังหวัดมะริด ประเทศเมียนมา
ย้อนไปในสมัยอยุธยา เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดมีความสำคัญทางการค้าทางทะเลเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วง พ.ศ. 2133-2310 ทั้งสองเมืองเป็นเมืองท่าสำคัญทางการค้าชายฝั่งทะเล ซึ่งส่งผลให้การทำการค้าของกรุงศรีอยุธยาขยายตัวมากขึ้น
ต่อมาช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2411) เกิดเหตุการณ์สำคัญคือ อังกฤษได้ติดต่อสยามเพื่อขอให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับพม่า (พม่าขณะนั้นอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ) สัตยาบันครั้งนี้ ถือเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้เมืองมะริด ทวาย และตะนาวศรี เป็นดินแดนของประเทศพม่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผลของการปักปันดินแดนนี้ ส่งผลต่อมิติทางภูมิศาสตร์ที่อิงอยู่กับความเป็นชาติพันธุ์ของผู้คนในฝั่งสยามและพม่า ทำให้คนไทยที่อาศัยอยู่ในดินแดนมะริด-ตะนาวศรีกว่า 40,000 คน ตกไปอยู่ภายใต้ปกครองของรัฐ-ชาติพม่าตามแผนที่สมัยใหม่
อย่างไรก็ดี ‘คนไทยบ้านสิงขร’ ยังคงอัตลักษณ์ของตนเองในแบบ ‘กลุ่มวัฒนธรรมบางสะพาน’ ยังติดต่อและปฏิสัมพันธ์กับคนไทยในเส้นเขตแดนรัฐชาติอยู่ตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยพวกเขามีวิถีวัฒนธรรมและเกษตรกรรมดั้งเดิมคล้ายคลึงคนปักษ์ใต้ไทย พูดภาษาไทยสำเนียงใต้ มีการสอนหนังสือเด็กๆ ในชุมชนด้วยตำราเรียนไทย หากเจ็บป่วยก็มักมาหาหมอในโรงพยาบาลฝั่งไทย ค้าขายและไปมาหากับญาติพี่น้องในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนคนไทยแถบชายแดนประจวบฯ เองก็เรียกพวกเขาว่า ‘คนสิงขร’ หรือ ไทยสิงขร’
(แผนที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวงกลมสีแดง คือบ้านสิงขร)
อย่างไรก็ดี แม้บ้านสิงขรจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพม่าไปแล้ว ทว่าสถานะพลเมืองของคนสิงขรนั้นเปราะบางอย่างมาก เนื่องจากรัฐไทยเองก็มองว่าพวกเขาคือพลเมืองพม่า ส่วนรัฐบาลพม่าเอง ก็ไม่ได้ยอมรับพวกเขาให้เป็นพลเมืองพม่า และออกบัตรระบุว่า ‘เป็นคนไทย’ และเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว ช่วงที่รัฐบาลพม่าทำสงครามกับชาติพันธุ์ในพม่า คนไทยกลุ่มนี้ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ถูกกดขี่รังแก กลุ่มคนจำนวนหนึ่งจึงโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่กับญาติพี่น้องในประเทศไทย และบางส่วนตกค้างอยู่ในฝั่งพม่า
นั่นทำให้ชาวสิงขรในพม่า ถูกทำให้เป็น ‘คนเถื่อน’ เข้าไม่ถึงสวัสดิการ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีระบบสุขภาพ การศึกษาที่มีคุณภาพ ใช้ชีวิตกันตามวิถีดั้งเดิม …และกำลังกระจัดกระจายหนีตายจากทหารพม่าจากภัยสงครามในปัจจุบัน
เรียกร้อง ‘รัฐไทย’ ช่วย ‘ไทยพลัดถิ่น’
ภควินท์ แสงคง ที่ปรึกษาเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น ให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐออนไลน์ว่า วันนี้ (20 ก.พ.2568) เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นได้ยื่นหนังสือต่อปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผ่านการประสานงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมีข้อเรียกร้องหลักคือ รัฐไทยต้องประกาศท่าทีให้ชัดเจนว่าจะดูแลคนไทยพลัดถิ่นกลุ่มนี้อย่างไร ทั้งชาวสิงขรที่อพยพมาอยู่ฝั่งไทยแล้ว และที่ยังติดค้างอยู่ฝั่งพม่า รวมถึงส่วนที่หลบอยู่ในป่า รัฐต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างชัดเจน
“หลักๆ เราได้แจ้งสถานการณ์พี่น้องคนไทยพลัดถิ่นที่ตกค้างอยู่ดินแดนพม่าในอดีต ซึ่งในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ระหว่างทหารของรัฐบาลพม่าปะทะกับทหารของชนกลุ่มน้อย หมู่บ้านสิงขร ซึ่งเป็นหมู่บ้านดั้งเดิมของพี่น้องคนไทยพลัดถิ่น มีลักษณะเป็นหมู่บ้านกันชนระหว่างฝั่งทหารพม่าและชนกลุ่มน้อย นั่นแปลว่า ไม่ว่าทหารพม่าหรือทหารของชนกลุ่มน้อยจะเข้าไปในพื้นที่ ชาวบ้านก็ให้การต้อนรับทั้งสองฝ่าย
“ซึ่งครั้งนี้ ทหารพม่าได้เข้ามาบุกยึดหมู่บ้าน แล้วมาดูว่าหมู่บ้านไหนให้ที่พักพิงหรือให้การช่วยเหลือฝ่ายชนกลุ่มน้อย ก็จะทำการเผาบ้าน ซึ่งทหารพม่าก็ได้เผาไป 10 กว่าหลังแล้ว รวมถึงทิ้งระเบิดลงที่วัดสิงขรวราราม”
เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น ยื่นหนังสือที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ปัจจุบัน ชาวไทยสิงขรหนีตายออกจากชุมชน โดยบางส่วนอพยพข้ามช่องทางธรรมชาติเพื่อมาอาศัยในบ้านญาติฝั่งไทย และบางส่วนยังคงหลบอยู่ในป่าฝั่งพม่า ขาดแคลนอาหารและยา และเสี่ยงต่อการถูกพบโดยกองกำลังติดอาวุธ
ภควินท์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีองค์กรหรือหน่วยงานใดของไทยให้การดูแลหรืออำนวยความสะดวกอะไรให้คนไทยพลัดถิ่นกลุ่มนี้
“ไม่ว่าจีนก็ดี เขายังเอาคนของเขาออกจากพม่า เอาเครื่องบินมารับมาดูแล แต่ฝั่งไทยกลับไม่ดูแลเลย ทั้งที่คุณสามารถคัดกรองคนได้เลยว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่นหรือไม่ มีญาติคนไทยมารับรองหรือไม่ คุณก็แค่ขึ้นทะเบียนเขาไว้แล้วจัดการดูแลผ่านกลไกผู้ใหญ่บ้าน กำนันได้ ส่งเสบียงไปดูแลเพื่อไม่ให้พวกเขาลำบาก คุณทำได้เยอะแยะเลย หรือหากคุณพบว่าบางคนไม่ใช่คนไทยพลัดถิ่น แต่เป็นคนพม่าที่สวมรอยเป็นคนไทย คุณก็สามารถคัดกรองและแยกการจัดการได้”
ภควินท์ มองว่า หากรัฐไทยแสดงตนให้การช่วยเหลือคนไทยในหมู่บ้านสิงขรอย่างเป็นทางการ จะเป็นประโยชน์กับไทยอย่างมากในด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งในกรณีนี้ รัฐไทยสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้ไม่ยาก และเป็นผลดีต่อความมั่นคงของประเทศเสียด้วยซ้ำ
“ผมมองว่า ชาวสิงขรคือคนไทย อีกทั้ง พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 5) ระบุไว้ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนเชื้อสายไทย และสามารถได้สัญชาติไทยด้วยหลักสายโลหิต มันชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้น การที่รัฐไทยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ในทางสากลคุณจะได้รับการสรรเสริญเยินยอเลยนะ ได้รับการยอมรับในด้านสิทธิมนุษยชน
“ความมั่นคง ไม่ได้มองแค่เส้นพรมแดน แต่เป็นความมั่นคงที่ข้ามพ้นเส้นพรมแดน นั่นคือ ความมั่นคงของมนุษย์ คือความมั่นคงของประเทศ เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้ประเทศไทยเลย เขากลับส่งเสริมไทยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะวัฒนธรรม ประเพณีไทย ชาวสิงขรเข้มแข็งชัดเจนมาก” ภควินท์ ทิ้งท้าย
อ้างอิง:
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของคนสยามในสิงขร – ตะนาวศรี
ทหารพม่าเผาหมู่บ้านคนไทยในตะนาวศรี ชาวบ้านสิงขรร่ำไห้หลบเข้ามาซุกญาติฝั่งไทย
ชาวไทยสิงขรเผยเหตุหมู่บ้านถูกเผา จี้ สมช.-มท.เปิดช่องทางช่วยเหลือด่วน
พลัดเขตแดนแต่ไม่สูญรากเหง้า สำรวจคนไทยในเมืองสิงขร บนผืนดินที่ถูกแยกในยุคนักล่าอาณานิคม