วันเด็กแห่งชาติเป็นวันที่มีความสำคัญของเด็กที่ผู้ใหญ่ได้มองเห็นคุณค่าจึงได้กำหนดจัดงานวันเด็กขึ้นมาเมื่อครั้ง สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ให้คำขวัญวันเด็กเมื่อปีพุทธศักราช 2499...ข้อความว่า “จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม”

ต่อมานายกรัฐมนตรีแต่ละท่านก็ได้ให้ “คำขวัญวันเด็ก” ในแต่ละปีมาโดยตลอดต่อเนื่อง ส่วนมากจะเป็นคำขวัญที่อ่านง่าย มีคำคล้องจองอักขระพยัญชนะสละสลวย เด็กๆสามารถท่องจำและนำไปใช้ในเวลาขึ้นเวทีแข่งขันเล่นเกมหรือเวลาท่องจำให้เพื่อนๆฟังที่หน้าเสาธงหรือในห้องเรียน

อย่างเช่น จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ให้คำขวัญแก่เด็กเมื่อปีพุทธศักราช 2516 ว่า “เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ”...พลเอกชาติชาย ชุณหะวัน ได้ให้คำขวัญแก่เด็กเมื่อปีพุทธศักราช 2534 ว่า “รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา”

นายชวน หลีกภัย ได้ให้คำขวัญแก่เด็กเมื่อปีพุทธศักราช 2536 ว่า “ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม”...นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้ให้คำขวัญแก่เด็กเมื่อปีพุทธศักราช 2539 ว่า “มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด”

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้คำขวัญแก่เด็กเมื่อปีพุทธศักราช 2552 ว่า “ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี” และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ให้คำขวัญแก่เด็กเมื่อปีพุทธศักราช 2557 ว่า “กตัญญู รู้หน้าที่ เป็นเด็กดี มีวินัย สร้างไทยให้มั่นคง” เป็นต้น

จนตราบเท่าทุกวันนี้ คำขวัญที่ผู้นำบริหารประเทศได้ให้ไว้กับเด็กๆก็ยังมีความสำคัญที่จะเป็นผู้ให้ข้อคิด ชี้นำ ให้สติปัญญาแก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป

...

“ความสุขของเด็กในวันนี้มีมากมายนับตั้งแต่ได้มีโอกาสได้แสดงออกถึงความรู้ความสามารถที่มีอยู่ในตัวของเด็กเองให้คนอื่นได้รับรู้ยอมรับในความสามารถ...ได้ไปร่วมงานวันเด็กกับเพื่อนๆมากขึ้นได้รับของขวัญวันเด็กจากผู้ใหญ่ใจดี ได้รับความรักความอบอุ่นที่เกิดขึ้นจากผู้ปกครองที่พาไปเที่ยวชมตามสถานที่ต่างๆ”

....ได้รับความสุขที่เกิดขึ้นจากบุคคลภายในครอบครัวภายในชุมชนมอบความสุขให้

พระครูจินดาสุตานุวัตร (พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก) ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกอีกว่า แต่...วันของเด็กหรือวันสำหรับเด็กไม่ควรมีขึ้นเพียงวันเดียวแล้วก็จบลง ที่เหลืออีก 364 วันจะมีใครตระหนักบ้างหรือไม่? รวมถึงเด็กด้อยโอกาสที่มีอยู่ในสังคมที่ต้องการโอกาสที่ดี

“พวกเขายังคงต้องการความรักความอบอุ่น ต้องการมีโอกาสทางการศึกษาที่ดีในวันข้างหน้า นับตั้งแต่เด็กกำพร้า เด็กเร่ร่อน เด็กยากจน เด็กครอบครัวแตกแยก เด็กพิการ เด็กที่ผู้ใหญ่ทำร้าย เด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เด็กที่ถูกกดขี่ด้านแรงงาน เด็กในชุมชนแออัด เด็กในถิ่นทุรกันดาร ฯลฯ”

เด็กๆเหล่านี้พวกเขาก็คือทรัพยากรของสังคมและของประเทศชาติ พวกเขาควรจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากทุกภาคส่วนของสังคม นับตั้งแต่หน่วยงานของภาครัฐ องค์กรการกุศลพัฒนาเอกชน สมาคม มูลนิธิ ภาคธุรกิจต่างๆ รวมถึงประชาชนในสังคมที่จำเป็นต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือ

เพื่อมิให้เด็กๆเหล่านี้กลายเป็น “เด็กตกหล่น” ของสังคม จนพวกเขาต้องดิ้นรนตามยถากรรม

เติบโตขึ้นมาตามมีตามเกิด ใช้ชีวิตถูกบ้างผิดบ้าง จนหลุดออกจากระบบของการศึกษาที่ควรจะมีและควรจะเป็น

...

บางครั้งพวกเขาเติบโตขึ้นมาได้กลายเป็น “เนื้อร้าย” กลับคืนมา สร้างความเสียหายสร้างความเดือดร้อนให้กับ “ส่วนรวม” กลับมาเป็น “ปัญหาให้กับสังคม” ดังที่เราได้พบเห็นอยู่เป็นประจำจนไม่มีที่สิ้นสุด

“วันเด็ก”...คงมิใช่เป็นเพียงวันที่เราได้มอบความสุข ความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน และได้มอบของขวัญให้แก่เด็กๆเท่านั้น แต่ผู้ใหญ่ควรจะมองลึกลงไปถึง “คุณค่าและความหมายของเด็ก” ว่าพวกเขามีคุณค่าขนาดไหน? เมื่อพวกเขาจะได้เติบโตขึ้นมาเป็น “เยาวชน” และเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า

“เด็กที่มีโอกาสดีอยู่แล้วก็คงไม่เป็นห่วงมากนัก แต่เด็กที่ด้อยโอกาสในลักษณะต่างๆนี้เองที่ควรจะใส่ใจและเป็นห่วงให้มาก เพราะถ้าพวกเขาได้รับการดูแลที่ดี ได้รับโอกาสที่ดี ได้มีความสุขตั้งแต่วัยเยาว์ มีความหวังที่สดใสตั้งแต่วันนี้ ผลดีก็จะติดตามมาทันที”

ทางที่ดีจึงควรมองเห็นคุณค่าของเด็กทุกชีวิตที่เกิดมาให้เป็นไปอย่างทั่วถึง ความสุขที่เกิดขึ้นกับเด็กจึงควรให้เป็นไปอย่างทั่วถึง “เด็กก็คือเด็ก” เด็กก็คือทรัพยากรของสังคมและชาติบ้านเมืองในวันข้างหน้า

...

ขอให้วันสำหรับเด็กจงเป็นไปตลอดทั้งปีจนกว่าวันเด็กจะกลับมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง

“ขอให้วันเด็กนี้เป็นวันเริ่มต้นที่ดีให้แก่เด็กๆ ที่ผ่านมาเราบกพร่องตรงไหนเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็ก เกี่ยวกับให้การศึกษาเด็ก เกี่ยวกับการฝึกอบรมบ่มนิสัยเด็ก เกี่ยวกับการให้อนาคตแก่เด็กๆ ก็ขอจงนำมาปรับปรุงแก้ไขรวมถึงมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับเด็ก ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่แห่งหนตำบลใด พวกเขาก็คือเด็กของสังคม”

...

เป็น “เด็ก”...ที่จะเติบโตขึ้นมาพร้อมที่จะเป็น “ทรัพยากรของครอบครัว ชุมชน หมู่บ้านและสังคมของเรา” ขอจงช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เด็กเติบโตขึ้นมาในสังคมของเราที่เป็น “ปกติสุข” ในที่สุดความสุขและความเจริญก็จะเกิดขึ้นกับเด็กทุกหย่อมหญ้าสังคมเราก็จะร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป

“วันเด็ก”...ที่เด็กอยากจะได้ วันที่เด็กอยากจะมีก็มาถึงแล้ว จึงขอให้ผู้ใหญ่ในสังคมได้ร่วมใจกันทำแต่ในสิ่งที่ดีและสิ่งที่มีประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับเด็ก การกระทำใดๆที่เป็นไปในทางลบหรือไม่เป็นตัวอย่างที่ดีก็ขอให้งดเว้นเสีย ขอจงประพฤติปฏิบัติทั้งทางกายทางวาจาและทางใจให้กลายเป็น “ตัวอย่างที่ดี” ให้เด็กได้สัมผัส

“ผู้ใหญ่นำทางดีเด็กก็มีโอกาสเดินทางได้ดี ผู้ใหญ่นำทางชั่วเด็กก็มีโอกาสที่จะเดินทางชั่ว ขออนุโมทนากับผู้ใหญ่ใจดีที่มอบแต่สิ่งดีให้กับเด็กๆ ทำให้เด็กมีความสุข สนุกสนานตามวัย...ความดีที่พวกเราได้กระทำในวันนี้จะเกิดประโยชน์แก่เด็กๆในระยะยาว” พระครูจินดาสุตานุวัตรทิ้งท้าย.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม