ประเดิมรณรงค์ 10 วันอันตราย ลดอุบัติเหตุทางถนนวันแรกของช่วง เทศกาลปีใหม่ 2568 ยอดตายพุ่งแล้ว 52 ศพ บาดเจ็บ 318 คน กทม.-นครศรีธรรมราช ครองแชมป์ร่วม ยอดตายสูงสุดจังหวัดละ 4 ศพ ส่วน “เชียงใหม่-นนท์-สมุทรปราการ” ทำสถิติถูกคดีขับรถขณะเมาสุราสูงสุด ขณะที่นายกฯโผล่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ ตรวจเยี่ยมการวัดปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติด ของพนักงานขับรถ ขอคนเมา-คนง่วงไม่ขับ เพื่อให้ ประชาชนได้ใช้เวลากับคนที่รักในวันหยุดยาวอย่างมีความสุข ด้าน บขส.มั่นใจจัดรถบริการเพียงพอ หลังเฉพาะวันที่ 27 ธ.ค.คนแห่ใช้บริการสูงกว่าที่ คาดการณ์กว่า 4 หมื่นคน

ผ่านวันแรกของช่วง 10 วันอันตราย ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี 2567 ที่รัฐบาลกำหนดไว้ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. 2567-5 ม.ค.2568 ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ทำให้ถนนทุกสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มุ่งหน้าออกจากกรุงเทพมหานคร ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนสายหลักทั้งถนนมิตรภาพ ถนนพหลโยธิน สายเอเชีย ถนนเพชรเกษม ถนนสุขุมวิท หนาแน่นไปด้วยสารพัดยวดยาน บางช่วงรถติดสะสมเป็นระยะทางยาวหลาย กม.

ประเดิมวันแรกตาย 52 ศพ

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.เวลา 10.00 น. ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานแถลงผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2568 โดยข้อมูลอุบัติเหตุในวันที่ 27 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันแรกของการรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานภาคีเครือข่าย ระบุเกิดอุบัติเหตุ 322 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 318 คน ผู้เสียชีวิต 52 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ตามด้วยตัดหน้ากระชั้นชิด ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ถนนกรมทางหลวง ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 50-59 ปี ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 16.01-17.00 น. มีการจัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,753 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 51,001 คน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดและมีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ นครศรีธรรมราช 17 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ และนครศรีธรรมราช จังหวัดละ 4 ราย

...

นายกฯตรวจสายใต้ใหม่

อีกด้านหนึ่ง ช่วงสายวันเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ เดินทางไปตรวจติดตามการให้บริการประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่เป็นการส่วนตัว โดยสวมใส่ชุดสบายๆ ไม่มีการแจ้งภารกิจล่วงหน้าให้สื่อมวลชนทราบ และไม่มีคณะผู้ติดตาม เมื่อเดินทางถึงนายกฯได้เยี่ยมดูการวัดปริมาณแอลกอฮอล์และสารเสพติดของพนักงานขับรถ พร้อมขอให้เข้มงวดและให้เป็นไปตามมาตรฐาน ขณะเดียวกัน พนักงานขับรถควรมีการเปลี่ยนกะตามระยะทาง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ส่งประชาชนถึงบ้าน พร้อมกันนี้ยังให้กำลังใจเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่มาคอยบริการช่วยเหลือ และคอยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา มีทั้งประชาชน เจ้าหน้าที่ พนักงานเข้ามาขอถ่ายรูปกับนายกฯด้วยความดีใจ

ขอคนเมา–คนง่วงไม่ขับ

ต่อมาเวลา 12.12 น. น.ส.แพทองธารโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กและแพลตฟอร์ม X ระบุว่าขอมาตรวจสอบความพร้อมของสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่) เพราะเป็นอีกจุดที่มีความสำคัญสำหรับการเดินทาง วันนี้มาตรวจเช็กปริมาณรถ มาตรฐานความปลอดภัยของรถและคนขับรถว่ามีการเปลี่ยนกะสลับคนขับและตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่ เพื่อให้ทุกท่านมั่นใจเรื่องความปลอดภัยที่สุด ขอให้พี่น้องประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ขับขี่ปลอดภัย เมาไม่ขับ ง่วงไม่ขับนะคะ ใช้เวลากับคนที่รักในวันหยุดยาวอย่างมีความสุข

เกิดอุบัติเหตุทางบกมากสุด

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม กล่าวถึงภาพรวมการเดินทางเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.จากการสรุปสถิติอุบัติเหตุบนโครงข่ายของกระทรวงคมนาคมว่า ทางบกเกิดอุบัติเหตุรวม 231 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 37 คน ผู้บาดเจ็บ 238 คน มูลเหตุสูงสุดคือ ขับรถเร็วเกินอัตรากำหนด 157 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 68 ยานพาหนะที่เกิดเหตุสูงสุด คือ รถปิกอัพบรรทุก 4 ล้อ 73 ครั้ง บริเวณที่ เกิดเหตุสูงสุดคือ ทางตรงและไม่มีความลาดชัน 171 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 74 จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ ชลบุรี 3 คน จังหวัดที่เกิดเหตุสูงสุด คือ กรุงเทพฯ และชลบุรี จังหวัดละ 9 ครั้ง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว อุบัติเหตุลดลงร้อยละ 19 ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 ผู้บาดเจ็บลดลงร้อยละ 4 ส่วนโครงข่ายทางรางเกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต และโครงข่ายทางน้ำ และทางอากาศไม่มีรายงานการเกิดอุบัติเหตุ

คนใช้บริการ บขส.เกินคาด

ด้านนายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า ตลอดวันที่ 28 ธ.ค.ประชาชนยังเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยวอยู่และเป็นอีก 1 วันที่การเดินทางมีจำนวนมาก บขส.คาดการณ์ว่าจะมีประชาชนเดินทาง (เที่ยวไป-กลับ) เฉลี่ยกว่า 110,000 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) ประมาณ 5,000-6,000 เที่ยว และได้จัดรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถเสริม 30) ประมาณเกือบ 1,000 คัน เพื่อรองรับการเดินทางในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนข้อมูลการเดินรถเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.มีผู้โดยสารเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เที่ยวไป จำนวน 103,101คน เที่ยวกลับ จำนวน 60,928 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 164,029 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) เที่ยวไป จำนวน 4,470 เที่ยว เที่ยวกลับ จำนวน 3,166 เที่ยว รวมทั้งสิ้นจำนวน 7,636 เที่ยว โดยจำนวนผู้โดยสารสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ประมาณกว่า 40,000 คน จากเดิมคาดการณ์ไว้ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางเที่ยวไป-กลับประมาณ 120,000 คน บขส.สามารถบริหารจัดการเดินรถได้อย่างเพียงพอ ไม่มีผู้โดยสารตกค้าง

ผบ.ตร.ให้ 7 ข้อดูแลกรุง

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล วันเดียวกัน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าและความพร้อมของแผนการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การจัดงานเทศกาลปีใหม่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กำชับการปฏิบัติ 7 ประการคือ 1.แผนการปฏิบัติต่างๆจะต้องนำไปถ่ายทอด ให้ถึงผู้ปฏิบัติเพื่อทราบและเข้าใจอย่างถูกต้อง 2.การตั้งจุดคัดกรอง ต้องให้ครอบคลุมทางเข้า-ออก ทุกด้านของพื้นที่จัดงาน 3.การอำนวยการจราจรโดยรอบพื้นที่ที่จัดงาน ต้องบริหารจัดการให้เรียบร้อย 4.ให้ดูแลการจราจรทางน้ำ และต้องมีแผนเผชิญเหตุทางน้ำด้วย 5.ตรวจสอบและกวดขันการจุดพลุ ดอกไม้เพลิง รวมทั้งการป้องกันระวังเหตุเพลิงไหม้ 6.ตรวจสอบและติดตามหากมีกรณีการยิงปืนขึ้นฟ้า 7.ให้ควบคุมดูแลโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในช่วงเทศกาลปีใหม่ เช่น โครงการร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0) โครงการลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเคร่งครัด

...

คลิปเตือนอย่าเล่นกับระบบ

พล.ต.ต.หญิง สมพร พูลเกษม ผู้บังคับการกองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คุมเข้มในการดูแลการจราจรและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 10 วัน ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 ที่มีการควบคุมเข้มข้น กองสารนิเทศร่วมรณรงค์การป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ด้วยการจัดทำคลิปประชาสัมพันธ์ชุด “อย่าเล่นกับระบบ!” เพื่อรณรงค์เมาไม่ขับ ขับขี่ปลอดภัย หลีกเลี่ยง 5 พฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ เมาแล้วขับ ง่วงแล้วขับ ไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด “ไม่งั้นอาจถูกระบบเวรกรรมเล่นงาน!” โดยคลิปประชาสัมพันธ์ชุดนี้จะถูกเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และจออัจฉริยะบริเวณแยกป้อมจราจร โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเตือนสติประชาชนในการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ ช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ และขอให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนคำนึงความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร การมีวินัยในการขับขี่ เพื่อให้เทศกาลปีใหม่นี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและปลอดภัยสำหรับทุกคน

จับเมาแล้วขับ 344 คดี

ในส่วนการดำเนินคดีเมาแล้วขับ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยถึงสถิติคดีที่ศาลสั่งคุมความประพฤติวันที่ 27 ธ.ค.วันแรกของการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ว่า มีคดีทั้งสิ้น 380 คดี เป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา 344 คดี คิดเป็นร้อยละ 90.53 คดีขับรถประมาท 2 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.53 และคดีขับเสพ 34 คดี คิดเป็นร้อยละ 8.95 เมื่อเปรียบเทียบคดีขับรถขณะเมาสุราปีใหม่ 2567 มีจำนวน 515 คดี กับปีใหม่ 2567 จำนวน 344 คดี พบว่า ลดลง 171 คดี สำหรับจังหวัดที่มีสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ เชียงใหม่ 63 คดี นนทบุรี 61 คดี และสมุทรปราการ 31 คดี

...

ททท.เฮ! ต่างชาติเข้าไทยทะลุเป้า

ด้านการท่องเที่ยวก็มีเรื่องน่ายินดี เมื่อ น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ก่อนถึงสิ้นปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 35 ล้านคนแล้ว โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-27 ธ.ค.2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยรวม 35.04 ล้านคน ทะลุเป้าหมายที่ทาง ททท.ตั้งไว้ในปี 2567 คาดว่าจะสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวจากต่างชาติกว่า 1.8 ล้านล้านบาท โดยมีตลาดนักท่องเที่ยวที่ทำเป้าหมายสูงสุดใหม่ เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นปีสูงสุดก่อนเกิดสถานการณ์โควิด ได้แก่ อินเดีย 2.1 ล้านคน มาเลเซีย 4.89 ล้านคน ไต้หวัน 1.07 ล้านคน รัสเซีย 1.7 ล้านคน ซาอุดีอาระเบีย 226,094 คน อิตาลี 259,443 คน สเปน 205,914 คน โปแลนด์ 175,674 คน และตุรกี 102,680 คน ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุด 10 อันดับแรกที่เดินทางเข้าไทย ได้แก่ จีน 6.66 ล้านคน มาเลเซีย 4.89 ล้านคน อินเดีย 2.10 ล้านคน เกาหลีใต้ 1.84 ล้านคน รัสเซีย 1.7 ล้านคน สปป.ลาว 1.11 ล้านคน ไต้หวัน 1.07 ล้านคน ญี่ปุ่น 1.01 ล้านคน สหรัฐอเมริกา 1.01 ล้านคน และสิงคโปร์ 1 ล้านคน

มุ่งหน้าเหนือรถเต็มถนน

สำหรับตลอดวันที่ 28 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เส้นทางที่มุ่งหน้าไปทุกภูมิภาคต่างประสบปัญหาการจราจรติดขัดหลายจุด จากปริมาณรถยนต์ที่มีจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางสู่ภาคเหนือ ที่ผู้คนออกไปท่องเที่ยวรับอากาศหนาวในช่วงนี้ ทั้งถนนพหลโยธินและถนนสายเอเชีย ที่ผ่าน จ.พระนคร ศรีอยุธยา ตั้งแต่ อ.บางปะอิน อ.พระนครศรีอยุธยา อ.นครหลวง อ.บางปะหัน อ.มหาราช มุ่งหน้าไปทาง อ.ไชโย จ.อ่างทอง รอยต่อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี รถเต็มทุกช่องจราจร ทำให้เคลื่อนตัวช้าและติดหยุดนิ่งเป็นบางช่วง ขณะที่ถนนพหลโยธินขาขึ้น ตั้งแต่ อ.พยุหะคีรีจนถึงเขตอำเภอเมืองนครสวรรค์ ปริมาณรถมาก ส่วนช่วงก่อนขึ้นสะพานเดชาติวงศ์ ปริมาณรถหนาแน่นเคลื่อนตัวได้ช้า เช่นเดียวกับ จ.เชียงใหม่ นอกจากตามถนนจะหนาแน่นไปด้วยรถแล้ว ที่สถานี ขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่แห่งที่ 3 ตลอดทั้งวันมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจาก กทม.รวมถึงจังหวัดอื่นๆในภาคเหนือเข้ามาใช้บริการจนแน่นขนัด โดยรถโดยสารที่มาจาก กทม.มีมากถึง 85 เที่ยว เพิ่มขึ้น 33 เที่ยว มีผู้โดยสารมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว จากช่วงปกติ 1,489 คน เป็น 3,089 คน ไม่ต่างจากท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มขึ้นจากปกติ วันละประมาณ 3 พันคน เป็นวันละ 33,000 คน และอาจจะทำสถิตินิวไฮมากกว่า 35,000 คนต่อวัน

...

ถนนมิตรภาพรถหนาแน่น

เช่นเดียวกับถนนมิตรภาพ มุ่งสู่ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ สภาพการจราจรขาออกแน่นขนัด ปริมาณรถเต็มทั้ง 4 ช่องทาง ไปตั้งแต่ช่วง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ไปจนถึง ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 27 ธ.ค.ต่อเนื่องถึงวันที่ 28 ธ.ค. เจ้าหน้าที่ต้องเปิดช่องทางพิเศษหลายช่วงทั้งที่ ต.กลางดง อ.ปากช่อง และ ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง เพื่อเร่งระบายรถที่ติดขัดสะสม ขณะที่ตามปั๊มน้ำมันก็เต็มไปด้วยยวดยานมาจอดพักจนแน่น ไม่ต่างจาก ถนนสาย 304 กบินทร์บุรี-นครราชสีมา อีกหนึ่งเส้นทางสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สภาพการจราจรรถหนาแน่นเต็มทั้ง 3 ช่องทาง ตลอดช่วงเช้ายันบ่าย รถติดสะสมเป็นช่วงๆ

จับเมาแล้วขับคาด่านอื้อ

นอกจากนี้ จากการตั้งด่านในช่วงดึกวันที่ 27 ธ.ค. มีการจับกุมคนเมาแล้วขับได้จำนวนมาก โดยกลุ่มงานจราจรตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่
ตั้งด่านตรวจวัดค่าแอลกอฮอล์คืนแรก จับกุมได้ 30 ราย โดย 1 ในนี้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์มีค่าสูงสุด 291 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตำรวจ ทางหลวงจังหวัดพิษณุโลกตั้งจุดตรวจแอลกอฮอล์ ดำเนินคดีผู้เมาแล้วขับแล้ว 24 ราย ส่วนผลจากการตั้งด่านกวดขันจราจร เมื่อช่วงดึกวันที่ 27 ธ.ค.ของ สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา บริเวณทางเข้าตลาดโรงสี ถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) กม.42 ช่องคู่ขนาน ขาเข้า กทม. หมู่ 2 ต.บางสมัคร อ.บางปะกง เวลา 1 ชั่วโมง จับกุมคนเมาแล้วขับได้ 9 ราย เป็นคนขับขี่รถจักรยานยนต์ 8 ราย และรถยนต์ 1 ราย ในจำนวนนี้มีชาวเมียนมา 1 ราย ที่เป่าระดับแอลกอฮอล์สูงสุดถึง 333 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่