ถ้าจะฟันธงกันว่าเหตุสังหารโหดสะท้านเมืองที่ปราจีนบุรีนั้นมาจากเหตุใดกันแน่ก็ต้องบอกว่าตามรูปการณ์และเบาะแสต่างๆประกอบกันแล้ว

ชี้ไปได้ว่าเป็นศึกชิงความเป็นเบอร์ 1 ของเมืองนี้

ไม่ใช่เหตุซึ่งหน้า ไม่ใช่เหตุความแค้นส่วนตัว

“ปราจีนบุรี” นั้นปัจจุบันต้องยอมรับว่า “สุนทร วิลาวัลย์” หรือ “โกทร” คือบ้านใหญ่ตัวจริงเสียงจริงที่มีบทบาทและอิทธิพลทั้งด้านการเมืองและวิถีแห่งนักเลงระดับ “เจ้าพ่อ”

ส่วนคู่แข่งคนอื่นๆได้เลิกรากันไปหมดแล้ว

จึงไม่แปลกที่เครือข่ายการเมืองในจังหวัดนี้ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นจึงอยู่ภายในอาณาจักรของเขาเพียงคนเดียว

“ชัยเมศร์  สิทธิสนิทพงศ์” หรือ “สจ.โต้ง” คือลูกน้องคนสนิทที่เป็นมือเป็นไม้ทุกอย่างจนได้รับความไว้วางใจเปรียบเสมือนเป็น “ลูกเลี้ยง” คนหนึ่ง

อันไม่ต้องอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน 2 คนนี้เป็นอย่างไร

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปคนหนึ่งไม่ต่างไปจาก “สิงห์เฒ่า” ที่ร่วงโรยไปตามสังขาร แต่อีกคนเติบโตขึ้นมาแบบ “เสือห้าว”

ต่างคนต่างก็เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง

มาถึงตรงนี้จึงกลายเป็นเสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ต่างคนต่างไม่ยอมกัน

สุดท้ายก็ต้องจบลงแบบ “ที่นี่ใหญ่ได้เพียงแค่คนเดียว”

คือ “โกทร”...

ว่าไปแล้วประเด็นความขัดแย้งคงก่อตัวมานานแล้ว และพัฒนาจนมาถึงจุดที่จะต้องตายไปข้างด้วยประเด็นการเมืองท้องถิ่น (นายก อบจ.) ซึ่ง “สุนทร” ดำรงตำแหน่งสุดท้าย

แต่ด้วยวัยที่ชราภาพจึงต้องถอยออกไปแล้วสร้างคนขึ้นมาแทนคงมีการวางตัวเอาไว้หลายคนในจำนวนนี้น่าจะเป็นคนที่ “สจ.โต้ง” เลือก

...

แต่ปรากฏว่าคุยกันไม่ลงตัวเพราะฝ่ายลูกน้องที่จะส่งภรรยาลงสมัคร เพียงแต่ขอสังกัดค่าย “สีแดง” ซึ่งอยู่คนละค่ายกับ “ลูกพี่” ที่ชูธง “สีน้ำเงิน” มานานแล้ว

ดังนั้น “โกทร” จึงจัดผู้สมัครเองในนามพรรคสีน้ำเงิน

จนเกิดรอยร้าวที่เชื่อมกันไม่ติด!

“สจ.โต้ง” นั้นระยะหลังอิทธิฤทธิ์มากขึ้น มีพรรคพวกกว้างขวางขึ้นทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ โดยเฉพาะการที่จะให้ภรรยาลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย ซึ่ง “ทักษิณ ชินวัตร” ให้การสนับสนุน

“ทักษิณ” นั้นต้องการขยายอิทธิพลพรรคเสื้อแดงในจังหวัดนี้และเห็นว่าไม่ได้ “ลูกพี่” ก็ต้องเอา “ลูกน้อง” เพื่อหวังได้ สส.จังหวัดนี้ด้วย

ตรงนี้แหละที่ทำให้ “สจ.โต้ง” ปีกกล้าขาแข็งพร้อมแตกหักกับ “ลูกพี่เก่า” จนทำให้เกิดเหตุสังหารโหดในบ้านพัก

เพราะหากปล่อยไว้ผู้มีอิทธิพลตัวจริงจะเปลี่ยนมือทันที

จากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะสืบสวนสอบสวนเพื่อเอาผิดผู้สั่งการและผู้ร่วมขบวนการในคดีนี้ เพราะถือว่าเป็นคดีอุกอาจในหมู่ผู้มีอิทธิพล

เห็น “พ่อนายกรัฐมนตรี” บอกว่าจะต้องให้ตำรวจกวาดล้างผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศครั้งใหญ่เพราะปล่อยเอาไว้นานแล้ว

ก็ต้องว่ากันไปตามเกม...“อิทธิพล-การเมือง”

ที่แยกกันไม่ออก...

ที่แน่นอนก็คือเป็นเรื่องยากที่จะจัดการให้ราบคาบไปได้เพราะทั้ง 2 อย่างต่างก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

ไม่เป็นเสียเองก็หนุนกันและกัน

เพราะบรรดา “บ้านใหญ่” ทั่วประเทศแทบทุกจังหวัดต่างก็มีอิทธิพลไม่ได้รับการสนับสนุนจากการเมือง

ก็เป็น “นักการเมือง” เสียเอง!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม