สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมปัจจุบันไม่น้อยมักมีปัญหาในการดำรงชีพ...มีปัญหาการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว มีปัญหาการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่เว้นแต่ละวัน จากกรณีหนึ่งก็ไปสู่อีกกรณีหนึ่งไม่มีที่สิ้นสุด
จนกลายเป็นคำถามว่าเกิดเป็น “มนุษย์” ทำไมจึงหา “ความสุข” ได้ยากจริงๆ?
ความเป็นจริง “สุขกับทุกข์” เกิดขึ้นกับทุกชีวิตทั้งนั้น ไม่มีใครเลยที่ได้พบแต่ความสุขเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่พบความทุกข์เลย ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเลยที่ได้พบแต่ความทุกข์เพียงอย่างเดียวเพราะสุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน เราจะใช้ชีวิตให้สามารถต่อสู้กับทั้งสองชนิดนี้ได้อย่างไร
“เมื่อพบสุขก็ไม่สุขจนเกินไปและเมื่อพบทุกข์ก็ไม่ทุกข์จนเกินไป ขอให้ทุกอย่างเป็นไปในทางสายกลางน่าจะดีกว่าไหนๆชีวิตของเราย่อมมีความสับสนวุ่นวายนับตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนอีกครั้ง”
พระครูจินดาสุตานุวัตร (พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก) ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. ว่า
...
“การกระทบกระทั่งซึ่งกันและกันในครอบครัว ภายนอกครอบครัว ภายในหมู่บ้าน...ชุมชน ตลอดถึงในสังคมส่วนมาก บางกรณีได้กลายเป็นข่าวร้ายผ่านสื่อมวลชนรายวัน เราควรจะหันมานำเอาธรรมะส่วนใดเข้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน นำเอาธรรมะส่วนใดมาเป็นหนทางป้องกัน...แก้ไขปัญหาเหล่านั้น”
ปัญหาทุกอย่างมีไว้สำหรับให้แก้ไข มิใช่มีไว้เพื่อให้แบกหามให้เป็นภาระที่หนักต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วกลายเป็นปัญหานั้นจะต้องมีหนทางแก้ไขทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็กหรือใหญ่
การรู้จักนำเอาหลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ตนเองเคารพนับถือมาเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติก็ย่อมจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับการแก้ไขปัญหาและการป้องกันปัญหา เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุคือแก้ไขที่ “จิตใจ”...จิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่จิตใจ
ดังนั้น “จิต” ที่ตั้งไว้ดีแล้วย่อมนำมาซึ่ง “ความสุข” และ “ความสำเร็จ”
ปัญหาที่เราพบเห็นอยู่ในขณะนี้นอกจากภายในตัวเราแล้วยังพบเห็นผู้คนในสังคมเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันทุกวัน แย่งผลประโยชน์จนไม่ลงตัวถึงกับทำร้ายซึ่งกันและกันก็มีมาแล้วมากมาย ใช่เล่ห์กลต่างๆหลอกลวงผู้คนในสังคมให้เข้าใจผิดหรือสำคัญผิด จนกลายเป็น “เหยื่อ” มาแล้วก็มีอีกมากมาย
โดยอ้างว่าเมื่อทำตามแล้วจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล แต่สุดท้ายมักลงเอยด้วย “การหลอกลวง” สร้างความเสียหายให้กับสังคมอย่างมาก ยังไม่นับรวมถึงการไม่รู้จักสำรวมในตน กลายเป็นผู้มักมากด้วยกิเลสราคะตัณหาจนก่อปัญหาให้กับสังคม อีกส่วนหนึ่งมักลุ่มหลงอยู่ในของมึนเมาเป็นทาสการพนัน
...ตกเป็นทาสของยาเสพติดจนกลายเป็นคนไม่ดีของสังคม รวมถึงได้ก่ออาชญากรรมสร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม ทั้งหมดล้วนมาจากผู้คนในสังคม “ขาดศีลของตนเอง”
พระครูจินดาสุตานุวัตร ย้ำว่า “ศีล”...คือความปกติ ศีลคือความเย็น ชีวิตของชาวพุทธย่อมนับถือศีลที่แตกต่างกันออกไป ผู้ใช้ชีวิตในครอบครัวเป็นผู้ครองเรือนก็นับถือศีล 5 ข้อ ผู้เข้าวัดจำศีลก็ถือศีล 8 ข้อ ผู้เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาถ้าเป็นสามเณรก็ถือศีล 10 ข้อ ส่วนผู้เป็นพระภิกษุก็ถือศีล 227 ข้อ
“ฆราวาสที่ถือว่าเป็นผู้ครองเรือนจึงถือศีลไม่มากนักเพราะชีวิตยังวุ่นวายอยู่กับการครองเรือน แต่จะนับถือศีลที่แตกต่างกันออกไปเพียงใดก็ตาม ศีลทุกข้อล้วนมุ่งหมายเพื่อจะนำการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์เรานำไปสู่ความสุข...ความเจริญ นำไปสู่การอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่มีการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ”
สร้างความสุขจากการส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกชีวิตเดินไปด้วยกัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน สร้างความสงบ...ความสุขให้เกิดขึ้นในสังคมนั้นๆ ศีลจึงปกติ...ศีลจึงเย็นและมีความสุขกัน
ขอให้ทุกชีวิตที่เกิดมานี้ได้รู้จัก “รักษาศีลของตนเอง” ให้บริบูรณ์ให้ครบถ้วนหรือถ้าบกพร่องก็ขอให้น้อยที่สุด ด้วยเหตุผลว่า “ลืมหรือขาดสติ” แล้วเริ่มต้นใหม่ ยังไม่สายสำหรับการปรับปรุงแก้ไขตนเอง ยังไม่สายสำหรับคนที่รู้ว่าผิดแล้วกลับตัวกลับใจใหม่
...
ย้ำว่า...“ศีลนี้มีความสำคัญมาก คนที่มีศีลย่อมอยู่เป็นสุข คนที่มีศีลย่อมมีทรัพย์สินบริวารที่หามาได้อยู่กับตนเองถาวร ศีลย่อมนำผู้คนไปสู่ความดี ศีลย่อมนำไปสู่การดับทุกข์โดยประการทั้งปวง ดังนั้นขอให้ทุกชีวิตจงรักษาไว้ซึ่งศีลของตนเองเถิด...”
พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “สีลํ โลเก อนุตฺตรํ แปลความว่า ศีลเป็นเยี่ยมในโลก” หมายถึงการมีศีลถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดในโลกมนุษย์นี้เพราะศีลจะเป็นที่มาของความสุขและความสงบ นับตั้งแต่ศีลของฆราวาสหรือผู้ครองเรือนคือศีล 5 ข้อ โดยงดเว้นจากปาณาติบาตทำให้ชีวิตของคนอื่นตกล่วงไป
...แล้วหันมามีเมตตาปรานีปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ให้คนอื่นได้พ้นทุกข์ เว้นจากอทินนาทานด้วยการไม่ยึดถือเอาสิ่งของคนอื่นที่เจ้าของมิได้ให้ด้วยการขโมยแล้วหันมาประกอบสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตของตนในทางที่ชอบ ไม่เป็นคนหมกมุ่นอยู่ในกามจนเกินไปจนทำให้จิตใจขุ่นมัว
...แล้วหันมาสำรวมในกามระวังมิให้ประพฤติผิดศีลธรรมและกฎหมายของสังคม งดเว้นจากการพูดที่เป็นคำเท็จ คำส่อเสียด คำหยาบและคำเพ้อเจ้อ แล้วหันมาเป็นคนที่มีแต่ความซื่อสัตย์สุจริต ประพฤติตนเป็นคนซื่อตรง งดเว้นจากการดื่มของมึนเมา...สุราเมรัย ยาเสพติดอันจะเป็นต้นเหตุความประมาท
...
คนเราจะเป็นคนที่สมบูรณ์ได้ก็เพราะ “มีศีลในตนเอง”...ควบคุมการกระทำทางกาย ทางวาจา ส่วนธรรมก็เป็นการควบคุมทางใจมิให้ตกต่ำหรือตกไปในทางที่ชั่ว ศีลธรรมจึงเป็นทางเลือก...ทางปฏิบัติของมนุษย์เรา เมื่อกายวาจาอยู่ในศีลจึงกลายเป็นความปกติ ความร่มเย็นเป็นสุขสงบภายในและภายนอก
อยากจะพบความสุขขอจงหันหน้าเข้าหาธรรมะ...รักษาศีลตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม