“สอบสวนกลาง” ประชุมเครียด คดีทนายตั้ม หลังสอบปากคำ “เจ๊ อ้อย” มาราธอนกว่า 12 ชม. เพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ในที่ประชุมยังพบว่ามีประเด็นที่ยังขาดอยู่ และยังไม่ได้ตัดสินใจจะกันใครไว้เป็นพยาน ต้องดูจากพยานหลักฐานทั้งหมดก่อน ขณะที่ “เจ๊อ้อย” ยันก่อนเดินทางกลับต่างประเทศ ไม่ไกล่เกลี่ย จะดำเนินคดีทนายตั้มให้สุดซอย ด้าน “สนธิ-ปานเทพ” บุกสภาทนายความ ร้องสอบมรรยาททั้งทนายตั้มและทนายเดชา มีโทษตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใบอนุญาต ไปจนถึงเพิกถอนใบอนุญาตทนายความ

กรณี น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ เศรษฐินีชาวไทยอาศัยอยู่ประเทศฝรั่งเศส มอบอำนาจทนายความแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ดำเนินคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ข้อหาฉ้อโกง หลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์มหวยออนไลน์เป็นเงิน 71 ล้านบาท หลังรวบรวมหลักฐานออกหมายจับทนายตั้ม และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยา ข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน นำฝากขังเข้าเรือนจำไปแล้ว นอกจากนี้คดียังบานปลาย ตำรวจกองปราบปรามดำเนินคดีนายนุวัฒน์ หรือนุ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิททนายตั้ม และ น.ส.สารินี หรือสา นุชนารถ อายุ 30 ปี แฟนสาว หลอกลวงเงินเจ๊อ้อยอีก 39 ล้านบาท ควบคุมตัวฝากขังเข้าเรือนจำแล้วเช่นกัน หลังจากนั้นมีประเด็นทนายตั้มให้เจ๊อ้อยทำพินัยกรรมมอบให้ตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก และติดจีพีเอสที่รถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ของเจ๊อ้อย ตามที่เสนอข่าวแล้วนั้น

ความคืบหน้าจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 21 พ.ย. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีสอบปากคำ น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ นานกว่า 12 ชม.ว่า เป็นการสอบเก็บตกประเด็นที่เคยสอบไปแล้วก่อนหน้านี้ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเจ๊อ้อยจะเดินทางกลับต่างประเทศในวันนี้ เกรงว่าจะมีความยากลำบากในการสอบสวนหากยังมีประเด็นตกหล่น ประเด็นหลักๆที่สอบเจ๊อ้อย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องพฤติการณ์หลักของ 4 เส้นเงินคือ เงิน 71 ล้านบาท 9ล้านบาท 13 ล้านบาท และ 39 ล้านบาท เป็นการสอบถามเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์

...

พล.ต.ต.สุวัฒน์ยังกล่าวถึงประเด็นพินัยกรรมว่า มีการสอบถาม แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมาก เพราะยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี หรือพบว่ามีความผิดอะไร ส่วนหลังจากนี้จะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง 4 เหตุการณ์ และคนที่รู้หรือจะพิสูจน์เหตุการณ์ในแต่ละเรื่องได้มาสอบปากคำเพิ่มเติม ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใคร และจะเรียกมาสอบวันไหน ส่วนวันนี้เวลา 10.00 น. จะเรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนกองปราบปรามคดีเจ๊อ้อยด้วย

ต่อมาเวลา 13.00 น. หลังการประชุม พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. และ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ต.สุวัฒน์เผยความคืบหน้าคดีว่า เมื่อวานนี้ (20 พ.ย.) เรียกผู้เสียหายมาให้ปากคำเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนที่ทำสำนวนพบว่ายังมีบางประเด็นไม่ชัดเจน จำเป็นต้องเรียกมาสอบเพิ่มเพื่อให้ทุกอย่างครบถ้วน เมื่อคืนเป็นการสอบเน้นในเรื่องเดิม ส่วนของประเด็นอื่นๆมีการสอบถามบ้างเพื่อนำมาประกอบกัน

“ในส่วนของเรื่องพินัยกรรมมรดก จากการสอบปากคำยังไม่พบความผิดอะไรปรากฏขึ้น มีการสอบสวนไปหมดแล้ว ส่วนการติดจีพีเอสบนรถเบื้องต้นที่ได้รับข้อมูลมาว่า จีพีเอสเป็นระบบที่มีในรถอยู่แล้ว เนื่องจากใครซื้อรถจะได้ไอดีในการล็อกอิน เบื้องต้นในเรื่องนี้กำลังตรวจสอบเพิ่มเติมอยู่” รอง ผบช.ก.กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะกันตัวพี่สาวเมียทนายตั้มและนายเล็กคนขับรถคนสนิททนายตั้มไว้เป็นพยานหรือไม่ พล.ต.ต.สุวัฒน์กล่าวว่า การดำเนินการของตำรวจ ไม่มีการกำหนดเป้าบุคคลใด และยังไม่ได้กันใครไว้เป็นพยาน ตอนนี้เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน จากนั้นจะพิจารณาอีกทีว่าใครมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด หรือเป็นแค่ส่วนหนึ่งในเหตุการณ์นั้นแต่ไม่มีเจตนาร่วมด้วย ทุกอย่างจะทำด้วยความรอบคอบ

“ขณะนี้ทั้ง 4 กรณีที่พูดคุยกับพนักงานสอบสวน เห็นว่า หลักฐานค่อนข้างชัดเจนพอสมควรทุกเรื่อง ตอนนี้อยู่ที่พยานหลักฐานจะนำมาวิเคราะห์กันอีกทีว่าใครมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเพิ่มหรือไม่ และจะพยายามสรุปสำนวนให้เสร็จภายในฝากขังผัด 3 และส่งอัยการในฝากขังผัด 4 เพื่อให้อัยการตรวจดูสำนวนต่างๆ เพราะเรื่องนี้มีหลายกรรม และมีความละเอียดหลายๆอย่าง เผื่ออัยการให้ตำรวจกลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้สำนวนสมบูรณ์ที่สุด” พล.ต.ต.สุวัฒน์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อช่วงดึกที่ผ่านมาหลังจากถูกสอบปากคำมาราธอนกว่า 12 ชม. ก่อนเดินทางกลับ น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้นๆประเด็นทนายตั้มพยายามขอเจรจาไกล่เกลี่ยชดใช้เงินคืน น.ส.จตุพรยืนยันหนักแน่นว่า จะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย ขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ย้ำไปให้สุดซอย ยอมรับว่ายังเป็นกังวลเรื่องคดี และในวันที่ 21 พ.ย. ตนจะเดินทางกลับยุโรปแล้ว

ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เวลา 13.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และทนายความ เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนให้พิจารณาสอบมรรยาททนายความกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา มีนายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ กำกับดูแลงานมรรยาททนายความเป็นผู้รับเรื่อง จากนั้นนายสนธิพร้อมคณะเข้าพบนายคณิต วัลยะเพ็ชร์ ประธานกรรมการมรรยาททนายความใช้เวลาประมาณ 20 นาที

นายสนธิออกมาเผยว่า ดีใจมากที่สื่อมวลชนและตนได้ช่วยกันทำให้ความจริงปรากฏ และเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในสังคมไทย สิ่งที่นายษิทราทำกับ น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย ไม่ใช่การฉ้อโกงหรือฟอกเงินอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการของคนที่รู้กฎหมายใช้ความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบคนที่ไม่รู้กฎหมาย โดยเฉพาะ น.ส.จตุพร ที่มองว่าเป็นคนต่างจังหวัดที่เจอนายษิทราทางโซเชียลเฟซบุ๊ก สิ่งที่ทำเป็นการหลอกลวงประชาชนที่หลงเชื่อ

...

“ผมยังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนที่โดนทนายความหลอกเป็น 100 ราย บางรายเป็นทนายความที่โดนไล่ออกแล้ว ประชาชนบางคนถูกหลอกจนหมดเนื้อหมดตัวจึงรับไม่ได้ แล้วความยิ่งใหญ่ของนายษิทราในอดีตเป็นเรื่องที่คนไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่เขาเข้าใจผิด สำหรับผมแล้วจะใหญ่แค่ไหนถ้าความอยุติธรรมเกิดขึ้น จะไม่รีรอที่จะทำ ทั้งนี้ น.ส.จตุพร มอบอำนาจให้ผมดำเนินการเด็ดขาดกับเรื่องที่แจ้งความ นายษิทราไว้เกี่ยวกับการฉ้อโกงและฟอกเงิน รวมทั้งมีอำนาจในการแต่งตั้งทนายความด้วย” นายสนธิกล่าว

ด้านนายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ กำกับดูแลงานมรรยาททนายความ กล่าวว่า จากนี้จะส่งเรื่องให้ประธานกรรมการมรรยาททนายความ จะมอบหมายให้รองประธานมรรยาททนายความท่านใดท่านหนึ่งพิจารณาว่า จะรับคำกล่าวหาหรือไม่ ถ้ารับจะเข้าสู่กระบวนการตั้งกรรมการสอบสวน แต่ก่อนตั้งกรรมการสอบสวนจะต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบเพื่อแก้ต่างคำกล่าวหา จะทำให้การพิจารณาคดีมรรยาททนายความรวดเร็วขึ้น คาดว่าใช้ระยะเวลา 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่ง ปกติแล้วการลงโทษจะมีตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใบอนุญาตทนายความ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 3 ปี รุนแรงสุดคือ เพิกถอนใบอนุญาตทนายความ แต่ผู้ถูกกล่าวหาสามารถอุทธรณ์กับสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ หรือ รมว.ยุติธรรม หรือฟ้องศาลปกครองได้

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่