ป.จ่อเชิญ “เจ๊อ้อย” ให้ปากคำ เพิ่มเติมอีกรอบ ขยายปมโกงวางแผนแต่งตั้ง “ทนายตั้ม” เป็นผู้จัดการมรดก เชื่อทำกันเป็นขบวนการ เตรียมขยายผลเอาผิดเพิ่มคนใกล้ชิด 1-2 ราย ด้าน“ทนายสายหยุด” เผยหลังเข้าเยี่ยมลูกความ ปัดไม่ได้ติดจีพีเอสรวมทั้งทำลายพินัยกรรมที่ตั้งตัวเป็นผู้จัดการมรดกไปแล้ว รับพูดคุยกับทนายฝั่งเจ๊อ้อย ในส่วนคดี 71 ล้านบาท ถึงเรื่องการเยียวยาเมื่อถึงชั้นศาล อ้างปกติคดีแบบนี้ศาลจะให้ไกล่เกลี่ยก่อน แต่หากทนายตั้มจะไม่คืน ก็เป็นเรื่องอนาคตที่ตนจะตัดสินใจต่อไป
กรณีนายษิทรา หรือทนายตั้ม เบี้ยบังเกิด ถูกกล่าวหาโกง น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ เศรษฐินีพันล้าน จำนวน 71 ล้านบาท หลังถูกหลอกให้ลงทุนแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ นายษิทราถูกกองปราบฯจับกุมพร้อมนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ขณะนี้ทั้งคู่อยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ระหว่างการฝากขัง ล่าสุดนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำกองปราบฯในฐานะพยานพร้อมเปิดประเด็นการพยายามเป็นผู้จัดการมรดกและการจัดทำพินัยกรรมของ “เจ๊อ้อย” รวมทั้งการติดจีพีเอส ในรถยนต์ ทำให้ “เจ๊อ้อย” รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยตามที่เสนอข่าวไปนั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 19 พ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.กล่าวถึงความคืบหน้าในส่วนคดีฉ้อโกงเงิน น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ จำนวน 39 ล้านบาทว่า คืบหน้าไปมากได้สอบปากคำพยานไปแล้วหลายปาก รวมถึงสืบพบพยานหลักฐานสำคัญเพิ่มเติมหลายอย่าง ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่ด้วยคดีเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเป็นที่จับตาของสังคม การดำเนินการต้องละเอียดรอบคอบ ยึดข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานเป็นหลักอาจจะต้องเรียกสอบพยานบุคคลเพิ่มอีกหลายปาก เพื่อให้กระจ่างชัด
...
ส่วนกรณีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำในฐานะพยานกับพนักงานสอบสวนกองปราบฯเมื่อวันที่ 18 พ.ย. มีรายงานว่าชุดสืบสวนพบข้อมูลที่ได้รับค่อนข้างเป็นประโยชน์กับรูปคดีอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการติดจีพีเอสในรถ น.ส. จตุพร และเรื่องการวางแผนตั้งทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก คณะพนักงานสอบสวนสืบสวนของกองปราบฯ ให้ความสนใจตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้ง 2 เรื่องนี้อย่างมาก เตรียมติดต่อให้ น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย มาพบเพื่อให้ข้อมูลทั้ง 2 เรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง นอกจากนี้ จากพยานหลักฐานต่างๆที่มีอยู่ขณะนี้เชื่อว่าการหลอกลวงเงินเจ๊อ้อยของนายษิทรา ทำเป็นขบวนการและน่าจะมีผู้เกี่ยวข้องคนอื่นๆถูกดำเนินคดีเพิ่มอีก 1-2 ราย ทั้งนี้ชุดคลี่คลายคดีค่อนข้างมั่นใจจะเอาผิดทนายตั้มกับพวกได้แน่นอน
อีกด้านหนึ่งที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เปิดเผยว่า วันนี้ได้เข้าเยี่ยมทนายตั้มอย่างใกล้ชิดใช้โทรศัพท์โทร.คุยกันแต่มีกระจกกั้น ทนายตั้มปรับตัวได้และไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ ถ้าเป็นเรื่องภรรยาจะฝากญาติที่เข้าไปเยี่ยมทุกวันโดยตรงส่วนเรื่องประกันตัวทั้งทนายตั้มและภรรยา ยังไม่ได้พูดคุยเนื่องจากที่ผ่านมายื่นไปแล้วไม่ได้ ต้องรอส่งฝากขังผัดที่ 2 ว่าพนักงานสอบสวนจะยังคัดค้านประกันตัวอยู่หรือไม่ สำหรับเรื่องคดี 39 ล้านบาท ส่วนตัวดูจากสำนวนคดีเป็นหลักไม่ได้ฟังจากสื่อและเรื่องเล่าปากต่อปาก ส่วนที่อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เปิดเผยว่า คดี 39 ล้านบาทเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้ทนายตั้มถูกดำเนินคดี เรื่องนี้ไม่ขอก้าวล่วงเพราะเป็นเรื่องวาทกรรมในการข่าว จะดำเนินการตามสำนวนและแนวทางคดีเท่านั้น
เมื่อถามว่าในส่วนข้อมูลที่ได้รับรู้จากการเผยแพร่ของสื่อมวลชนกับข้อมูลที่ได้รับจากทนายตั้มมองว่า ทนายตั้มเพลี่ยงพล้ำในเรื่องของการที่จะต่อสู้คดีหรือไม่ นายสายหยุดกล่าวว่า ในทางคดี นุกับสารินี ยังไม่มีหลักฐานซัดทอดมาที่ทนายตั้ม ถึงแม้ว่าทั้ง 2 คนจะถูกดำเนินคดี รวมทั้งตำรวจประกาศจะดำเนินคดีกับทนายตั้มก็ตาม เพราะข้อเท็จจริง ทนายตั้มยังไม่ถูกดำเนินคดี ฉะนั้นต้องไปขอข้อมูลจากทนายตั้มและมาศึกษา หากทนายตั้มผิดจริงก็แนะนำ จะให้รับสารภาพ เพราะยืนยันจะไม่รับทำคดีแน่หากทำแล้วแพ้ ส่วนพยานหลักฐานที่มีความชัดเจนถึงการขนย้ายเงิน 39 ล้านบาทด้วยการใส่กระเป๋าเพิ่งเห็นตามภาพสื่อเช่นกัน รายละเอียดทางคดีไม่ขอออกความคิดเห็น ขอเห็นเอกสารหรือข้อเท็จจริงที่พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อกล่าวหาก่อน เบื้องต้นเท่าที่ได้รับข้อมูลคดี 39 ล้านจากทนายตั้ม พบว่ามีพยานหลักฐานที่สามารถต่อสู้คดีได้ ทนายตั้มเตรียมพยานหลักฐานดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนเจ้าตัวจะหลอกหรือสับขายังไงก็เป็นเรื่องของทนายตั้ม เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว พยานหลักฐานจะเหลือร่องรอยมากน้อยแค่ไหนก็ต้องไปตรวจสอบพิจารณาอีกครั้ง
นายสายหยุดกล่าวอีกว่า สำหรับคดี 71 ล้านบาท ได้พูดคุยกับทนายของเจ๊อ้อย เรื่องของการไกล่เกลี่ยเพื่อจะเยียวยาเมื่อไปถึงชั้นศาล และคดีเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง ศาลจะให้ไกล่เกลี่ยกันอยู่แล้ว เจตนาส่วนตัวคือเมื่อเป็นหนี้แล้วเขาทวงเราก็ต้องใช้ แต่หากในอนาคตทนายตั้มไม่คืนก็จะมีเหตุที่ทำให้ตนตัดสินใจเกี่ยวกับการทำงานหลังจากนี้ สำหรับประเด็นอาจารย์ปานเทพออกมาเปิดเผยว่า ทนายตั้มมีกรณีเรื่องการทำพินัยกรรมและให้ตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก ขอไม่วิพากษ์วิจารณ์กรณีนี้ แต่ได้พูดคุยกับทนายตั้ม เจ้าตัวบอกทำลายไปแล้ว และการยกเลิกก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องเจ๊อ้อยและทนายตั้ม ส่วนตัวไม่ทราบ ส่วนเรื่องที่อ้างว่าทนายตั้มติดจีพีเอสในรถเจ๊อ้อย ทนายตั้มอ้างว่าไม่ได้ติด มันไม่สามารถระบุได้ว่ามีสัญญาณหรือไม่มีไม่สามารถยืนยันได้ ส่วนที่สังคมชื่นชมการทำงานและการพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่รู้จะมาพูดอ้อมค้อมทำไม การออกมาพูดให้สวยหล่อนั้น พูดเรื่องจริงง่ายกว่า คนฟังรู้เรื่องว่าอะไรโกหกอะไรไม่โกหก ตนมีหน้าที่ทนายความ ทนายตั้มจ้างก็ต้องทำ