ครูปรีชา ลั่นผลกรรมเริ่มทำงาน ความจริงก็คือความจริงเสมอ ทำอย่างไรได้อย่างนั้น หลังเห็นข่าวทนายตั้มถูกจับ บอกที่ผ่านมาทำกับครูเอาไว้เยอะ ด้านเจ๊เกียว เฉยๆ บอกไม่ได้เป็นคนชอบซ้ำเติมใคร แต่เวลาจะทำให้ได้รู้ว่าใครเป็นอย่างไร
จากกรณีตำรวจกองปราบนำกำลังจับกุม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ในคดีหลอกลวงเงิน น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5337/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย.2567 ข้อหา ฉ้อโกง , ฟอกเงิน และ ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบฟอกเงิน รวมถึงจับกุม นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยาของนายษิทรา ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ.5338/2567 ลงวันที่ 7 พ.ย. 2567 ข้อหา ร่วมกันฟอกเงิน หลังพบหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว โดยทนายตั้มและภรรยาให้การปฎิเสธตลอดทุกข้อกล่าวหา ทั้งนี้หลังจากสอบปากคำเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนจะไม่อนุญาติให้ประกันตัว ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ที่ จ.กาญจนบุรี ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านของลุงจรูญ แต่ก็พบว่าประตูบ้านปิด และไม่มีรถของลุงจรูญอยู่ที่บ้าน
ผู้สื่อข่าว มีโอกาสได้พูดคุยกับ นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา คู่กรณีในคดีหวย 30 ล้าน ที่ได้เผชิญหน้ากับทนายตั้ม มาเป็นเวลานานกว่า 7 ปี โดยครูปรีชากล่าวว่า หลังจากเห็นข่าว ก็อยากจะเดินทางไปที่กองปราบปรามด้วยตัวเอง ว่าทนายตั้ม โดนเหมือนกับที่ตนเองเคยโดนเมื่อช่วงคดีหวย 30 ล้านหรือไม่ “ความจริงก็คือความจริงเสมอครับ ใครทำยังไงก็ได้รับกรรมอย่างงั้น”
ซึ่งคดีที่ทนายตั้มโดน แม้จนถึงตอนนี้ คดีจะยังไม่สิ้นสุด แต่ตนเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีประจักษ์พยานหลักฐานต่างๆ ชัดเจน จนนำมาสู่การออกหมายจับดังกล่าว
ครูปรีชา ยังได้กล่าวอีกว่า เท่าที่ได้ติดตามข่าวของทนายตั้มมาในช่วง 1-2 วันนี้ สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทนายตั้มมีสีหน้าที่ค่อนข้างเคร่งเครียด แตกต่างไปจากปกติ ที่เป็นคนชอบให้สัมภาษณ์ชอบออกสื่อ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือว่าเป็นผลของการกระทำ ไปทำอะไรไว้ก็ต้องได้ผลของการกระทำแบบนั้น
...
พร้อมกันนี้ ก็อยากจะฝากไปถึงทนายตั้ม ว่า “ที่ผ่านมาเคยทำกับครูปรีชาเอาไว้เยอะ ทุกวันนี้ก็โดนกับตนเองบ้าง” ยกตัวอย่างเช่น คดีหวย 30 ล้าน ที่ทนายตั้มไปยื่นฟ้องพยานฝั่งของครูปรีชาจำนวน 10 ปาก เรียกเงินคนละ 1 ล้านบาท ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ไม่มีทนายที่ไหนเขาทำกัน เพราะพยานถือเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่ทนายตั้มให้ลุงจรูญยื่นฟ้องพยานพร้อมเรียกเงิน 10 ล้าน แถมยังมีพฤติกรรมไปข่มขู่พยาน โดยบอกว่า หากทนายฝั่งครูปรีชาคนไหนไม่อยากเสียเงิน 1 ล้าน ก็ให้มากราบขอโทษลุงจรูญแล้วจะถอนฟ้องให้ ทำให้มีพยานฝั่งของครูปรีชาหลายคน ต้องยอมไปกล่าวคำขอโทษลุงจรูญต่อหน้าสื่อ ทั้งที่พยานเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรผิดและให้การไปตามความเป็นจริงที่พบเห็นมา แต่ที่ต้องยอมขอโทษก็เพราะไม่อยากเดือดร้อนต้องไปต่อสู้คดีในชั้นศาล พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และส่งผลมาถึงวันนี้ของทนายตั้ม ที่ตนเชื่อว่าเป็นผลกรรมที่ทำมาตลอด
ทางด้าน นางปนัญชญา สุขพูล หรือ เจ๊เกียว 1 ใน 3 แม่ค้าลอตเตอรี่ ซึ่งเป็นพยานในคดีหวย 30 ล้านฝั่งครูปรีชา ได้กล่าวว่า หลังจากได้รับทราบข่าวจากสื่อมวลชน ถามว่า ตนเองดีใจหรือไม่ที่ทนายตั้มถูกจับ ก็คงต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร เพราะไม่ได้เป็นคนชอบซ้ำเติมใคร แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาของทนายตั้ม ทำให้สังคมได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วทนายตั้มเป็นคนอย่างไร และตอนนี้ทนายตั้มก็ได้รับผลของการกระทำนั้นแล้ว เหมือนกับที่ตนเองเคยบอกว่า เวลาจะทำให้ได้รู้ว่าใครเป็นอย่างไร
เจ๊เกียว ยังได้พูดถึง เรื่องที่ทนายตั้ม และลุงจรูญ ยื่นฟ้องพยานฝั่งครูปรีชาจำนวน 10 ปาก ในข้อหาร่วมกันให้การเท็จ พร้อมเรียกเงินคนละ 1 ล้านบาท ซึ่งเจ๊เกียวมองว่า ทุกคนที่มาให้การเป็นพยาน ล้วนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกมาเป็นพยานทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับคดี ดังนั้น การที่พยาน ต้องมาถูกฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกเงินถึง 1 ล้านบาท ย่อมทำให้ พยานแต่ละคนเกิดความเครียดและความกังวล ว่าจะต้องเสียเงินประกันตัวและต้องเสียเงินจ้างทนายความว่าความสู้คดี ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เมื่อถูกทนายตั้ม พูดข่มขู่บอกว่า หากใครไม่อยากถูกฟ้องก็ให้ไปขอโทษลุงจรูญ จึงทำให้มีพยานบางส่วน ยินยอมไปกล่าวคำขอโทษลุงจรูญ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็มีพยานอีกหลายคนที่ยังเดินหน้าสู้คดีไปตามความเป็นจริง