“ดีเอสไอ” มีมติเอกฉันท์ ดำเนินคดี 18 บอส กับอีก 1 นิติบุคคลดิ ไอคอน กรุ๊ป ข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือ แชร์ลูกโซ่แล้ว เตรียมประสานเข้าไปแจ้งข้อหาในเรือนจำไม่เกินสัปดาห์หน้า ส่วนพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาจะพิจารณาอีกทีว่าต้องสอบสวนทุกคนหรือไม่ เกรงไม่ทันฝากขัง “ทนายวิฑูรย์” พาพยานฝ่าย
บอสพอลเข้าให้การดีเอสไอแล้ว 20 คน โวมีอีกเป็นหมื่นคน ดีเอสไอต้องให้ความเป็นธรรมสอบให้หมด ไม่เช่นนั้นจะแจ้งดำเนินคดีข้อหา 157 “บิ๊ก ต่าย” ย้ำตำรวจช่วยดีเอสไอทำคดีดิ ไอคอนฯอยู่แล้ว ไม่ต้องให้นายกฯออกคำสั่งเพิ่มเติม “รองเต่า” ยันตรวจสอบเส้นทางการเงินคดีนักการเมือง ส.เรียกรับเงิน “บอสพอล” แล้ว พบมีการโอนเงินไปที่แม่นักการเมืองหลายครั้ง แต่หลัก 7-8 แสนบาท ไม่ถึง 2 ล้านบาท แต่ต้องไปสอบบอสพอลในเรือนจำอีกครั้งว่าจะแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ ส่วนนักร้องเรียนสาว ก.พบความผิดข้อหากรรโชกทรัพย์ รอตรวจสอบข้อหาอื่นเพิ่มเติมแล้วพิจารณาว่าจะออกหมายเรียกหรือหมายจับ ส่วนกรณี “เอกภพ เหลืองประเสริฐ” ปั้นพยานเท็จ อาจโดนข้อหา พ.ร.บ.คอมฯด้วย ด้านคดีทนายตั้ม รอง ผบช.ก.ยันคดีคืบหน้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ขอรวบรวมหลักฐานให้รอบคอบก่อน เชื่อทนายตั้มไม่หนีไปต่างประเทศแน่
การสืบสวนคลี่คลายบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด (The iCon Group Co.,Ltd.) ดำเนินธุรกิจขายตรงเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ กล่าวหาหลอกให้ลงทุนและหาลูกข่ายมาเป็นสมาชิก สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการนำดารานักแสดงชื่อดังมาร่วมโปรโมต หลังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เดินเครื่องสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหา 18 คน ตั้งแต่นายวรัตน์พล หรือบอสพอล วรัทย์วรกุล เจ้าของบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด นายยุรนันท์ หรือบอสแซม ภมรมนตรี น.ส.พีชญา หรือบอสมิน วัฒนามนตรี และนายกันต์ หรือบอสกันต์ กันตถาวร รวมถึงแม่ข่ายและผู้เกี่ยวข้อง คุมตัวฝากขังเข้าเรือนจำไปแล้วทั้ง 18 คน ล่าสุดโอนสำนวนให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการ อยู่ระหว่างสอบสวนเพื่อแจ้งข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่เพิ่มเติม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
...
ความคืบหน้าจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 4 พ.ย. นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความบอสพอล พร้อมพยานฝั่งบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป กว่า 20 คน เข้าให้ข้อมูลพนักงานสอบสวน โดยมี ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ หรือกองคดีฮั้วประมูลฯ รับมอบหมายจาก พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีดีเอสไอ รับเรื่อง น.ส.มลญ่า (สงวนนามสกุล) ตัวแทนผู้ประกอบการบริษัท ดิ ไอคอนฯ กล่าวว่า มาเป็นพยานให้บริษัทดิ ไอคอนฯ พาพี่ๆหลายคนที่ยังคงทำธุรกิจและขายสินค้าได้ปกติมาแสดงให้ทุกคนเห็นเหรียญอีกด้าน สาเหตุที่ตัดสินใจมาเป็นพยาน เพราะส่วนตัวอยู่กับบริษัทมา 4 ปี ได้รับการดูแลอย่างดี ตลอดเวลาที่อยู่มา ได้ความรู้เรื่องธุรกิจมากมาย ยืนยันว่าตลอดเวลาที่อยู่ตรงนี้เราเจอแต่มุมดีๆ
น.ส.มลญ่ากล่าวต่อว่า หลังเกิดเรื่องยังขายสินค้าได้ต่อเนื่อง เริ่มต้นขายแบบออฟไลน์เแนะนำสินค้าให้คนรอบข้าง ได้ความรู้ทำแพลตฟอร์มขายสินค้าทางออนไลน์ด้วย เรื่องผลตอบแทน ถ้าขายเยอะก็ได้กำไรเยอะ แต่ถ้าเดือนไหนยุ่งก็ขายได้น้อย จำตัวเลขไม่ได้ ไม่ได้หลักแสนเสมอไป ตลอดหลายปีขายคอลลาเจนและสินค้าตัวปัจจุบันจากที่สรุปมี อย.ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ สินค้าถูกต้องตามกฎหมาย อยากให้ลูกค้าทานต่อ เพราะตนยังมีสินค้าอยู่
นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความบอสพอล กล่าวว่า วันนี้พาพยานกว่า 20 คนฝั่งบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป มาให้การชั้นพนักงานสอบสวน ให้การตามข้อเท็จจริง มีพยานยืนยันแล้วประมาณพันกว่าคน แต่มีในรายชื่ออยู่ 2,400 คน และติดต่อประสานเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตนมั่นใจในข้อเท็จจริงเชื่อว่าพยานจะให้การตามจริง ไม่หนักใจอะไร หลังจากนี้จะไปปรึกษาดีเอสไอว่าสามารถขยายการสอบสวนได้มากเพียงใด รวมถึงสามารถส่งพนักงานสอบสวนไปสอบปากคำพยานต่างจังหวัดและต่างประเทศได้หรือไม่ หากทำได้ตนมีแผนเดินสายพบปะพยานทั้งประเทศ เพื่อเข้าให้ปากคำกับดีเอสไอฐานะพยาน เบื้องต้นประเมินมีตัวแทนกว่า 10,000-15,000 ราย
“หากดีเอสไอตัดพยานเหลือเพียง 50 คน จะร้องขอความเป็นธรรม ถ้ายังนิ่งเฉยจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหา ม.157 สุดท้ายคดีจะไม่ไปไหน อัยการจะตีสำนวนกลับอยู่ดี เราต้องใช้สิทธิ์พยานทุกปากฝั่งจำเลยเพราะมีหมื่นกว่าคนไม่เคยให้การ อาจวุ่นวายสร้างภาระให้อัยการและศาล มองว่าควรให้จบในชั้นสอบสวน เชื่อว่าดีเอสไอใจกว้างพอจะสอบเพิ่มเติม ส่วนความกังวลว่าจะจำกัดอิสรภาพกลุ่มผู้ต้องหานานขึ้นหรือไม่ ฝั่งผมเสียหายยังต้องขังอยู่ แต่การสู้คดีเราเสียหายตอนนี้จะสบายระยะยาว ยังมีพยานอีกกลุ่มคือ พยานโรงงานผลิตสินค้าที่จะให้ปากคำว่าส่งสินค้าให้บริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ปจริง อีกกลุ่มเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและกฎหมาย คาดว่าน่าจะช่วงปลายเดือน พ.ย. รวมถึงขอให้กำหนดประเด็นพฤติการณ์ผู้เสียหายแต่ละคน” ทนายวิฑูรย์กล่าว
ด้าน ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ กล่าวว่า เบื้องต้นชี้แจงกับกลุ่มพยานบริษัทดิ ไอคอนฯว่า เพื่อความสะดวกของพยานบริษัทดิ ไอคอนฯ ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษก็ได้ ให้ชี้แจงเป็นหนังสือมา พนักงานสอบสวนพร้อมดำเนินการให้ หรืออีกช่องทางพยานทุกท่านสามารถเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทั่วประเทศ เมื่อสอบปากคำเสร็จสิ้นพนักงานสอบสวนจะส่งข้อมูลมาให้ดีเอสไอรวบรวมเป็นพยานหลักฐาน
ต่อมาเวลา 16.40 น. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จากการประชุมร่วมกันคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 119/2567 มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบแจ้งข้อกล่าวหาต่อบุคคล 18 คน และนิติบุคคล 1 รายคือ บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล กรรมการ ผู้มีอำนาจลงนามความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน 2527 มาตรา 4 และ 5 และ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง 2545 มาตรา 19 และ 20 จะเเจ้งข้อกล่าวหาสัปดาห์นี้ต่อสัปดาห์หน้า ต้องรอความพร้อมผู้ต้องหาและทนายความด้วย
“พฤติการณ์ที่ทำให้คณะพนักงานสอบสวนมีมติแจ้งข้อหาแชร์ลูกโซ่แก่ผู้ต้องหาทั้ง 18 คน เรารวบรวมพยานหลักฐานต่อเนื่องจนฟังได้ว่า มีหลักฐานตามสมควรแล้วว่า ผู้ต้องหาทั้ง 18 คนพร้อม 1 นิติบุคคล เข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ส่วนรายละเอียดเป็นเรื่องแต่ละบุคคลไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนบอสดาราไม่ได้มีส่วนในโครงสร้างกรรมการบริษัท เหตุใด จึงถูกแจ้งข้อหาด้วย ทุกคนอาจมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน แต่ว่าในการพิจารณาจะดูว่าแต่ละคนแบ่งหน้าที่กันทำ คนนึงอาจมีหน้าที่หนึ่ง ขณะที่คนหนึ่งอาจมีอีกหน้าที่หนึ่ง แต่ทุกคนล้วนมีจุดประสงค์เดียวกันจนความผิดเข้าองค์ประกอบ” รรท.อธิบดีดีเอสไอกล่าว
...
พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวต่อว่า สำหรับองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เข้าข่ายความผิดแชร์ลูกโซ่ เนื่องจาก สคบ. ยืนยันแล้วว่า การกระทำนั้นเป็นความผิดเรื่องขายตรง ดังนั้นเมื่อเป็นความผิดแล้ว การกระทำจึงเข้าองค์ประกอบตามมาตรา 4 ที่ว่า ไม่สามารถประกอบ ธุรกิจโดยชอบด้วยกฎหมายในการให้ผลประโยชน์ ตอบแทนได้ ยืนยันว่าในชั้นนี้เราพบพยานหลักฐานตามสมควร เมื่อดีเอสไอดำเนินการแจ้งข้อหา ผู้ต้องหายังคงมีสิทธิ์ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เป็นสิทธิตามกฎหมายที่จะให้การอย่างไรก็ได้เพื่อให้ข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์
ถามว่าการจะเเจ้งข้อหาแชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรงฯ จะสรุปสำนวนส่งอัยการช่วงใด พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า เราพยายามดำเนินการให้ทันระยะเวลาควบคุม ส่วนกลุ่มผู้ต้องหาลอตที่ 2 เราอยากให้รวบรวมชุดแรกให้เรียบร้อยก่อน ขอให้การสอบสวนชุดแรกเสร็จสิ้น เพราะชุดแรกมีระยะเวลาการควบคุม ส่วนคดีการฟอกเงินทางอาญาหรือคดีพิเศษที่ 115/2567 รวบรวมพยานหลักฐานเส้นทางการเงินของบอส 18 คนและในส่วนบริษัท ด้วยว่า จำหน่ายจ่าย โอนไปที่ใดบ้าง เรายังดำเนินการต่อเนื่อง ส่วนการแจ้งข้อหาฟอกเงินต้องพิจารณาเป็นรายกรรม ดูรายละเอียดแต่ละเส้นทางเงิน อาจใช้เวลาเล็กน้อย ข้อหาฉ้อโกงประชาชนทีี่ตำรวจได้แจ้งผู้ต้องหาไว้ เข้ามูลฐาน พ.ร.บ.การป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงินฯ อยู่แล้ว
พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวว่า กรณีพยานของทนายบอสพอล 20 รายที่เข้ามายื่นเรื่องพบดีเอสไอ ตรงนี้ เราแจ้งให้ทนายทำเป็นบัญชียื่นมา เพราะตรงนี้เป็นการแก้ข้อกล่าวหา เป็นพยานฝ่ายผู้ต้องหา เมื่อทำบัญชีมาจะนัดหมายสอบสวนกันที่ดีเอสไอ ส่วนกรณีนี้ทนายยืนยันว่ามีพยานกว่า 2,400 ราย หรือมากถึง 10,000 ราย ดีเอสไอจะรับฟังและพิจารณาก่อนว่า เป็นพยานฝ่ายผู้ต้องหา ถ้าดูแล้วเป็นประเด็นที่เราได้ข้อเท็จจริงเรื่องนั้นแล้ว คงไม่จำเป็นต้องสอบหมด ถ้าสอบหมดก็เกินระยะเวลาควบคุมเกิดความเสียหายต่อรูปคดี อำนาจการพิจารณาเป็นของพนักงานสอบสวน แต่จะสอบและให้ความเป็นธรรม จะไม่มีการตัดพยาน แต่เราต้องพิจารณาและทำตามกฎหมาย ไม่มีความกังวลใจ
...
ด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ฐานะโฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า เมื่อแจ้งข้อกล่าวหาแชร์ลูกโซ่จะทำให้ขยายเวลาฝากขังเป็น 84 วัน ดังนั้น ต้องดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาให้เรียบร้อยก่อนครบกำหนดฝากขัง 4 ผัด การที่ดีเอสไอจะเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาในเรือนจำต้องนัดหมายทนายความ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมพฤติการณ์ทางคดี และแจ้งสิทธิ์ของผู้ต้องหาว่าสามารถชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ 2 ช่องทางคือ แก้ข้อกล่าวหาด้วยวาจา และแก้ข้อกล่าวหาเป็นลายลักษณ์อักษร
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.เผยความคืบหน้าคดีดิไอคอน กรุ๊ป ว่า หลังกรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็น คดีพิเศษตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค. แต่ยังคงประสานความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ปปง.ก่อนหน้านี้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีดีเอสไอ เคยระบุว่า อยากให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนต่อ เพื่อให้การทำคดีต่อเนื่อง ใช้ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ยังไม่มีความจำเป็นถึงขั้นนั้น เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีรับดำเนินการให้อยู่แล้ว ยังคงเป็นการร่วมกันทำคดี ไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีลงมา
ด้านความคืบหน้าคดีตรวจสอบ “เทวดา” เรียกรับเงินบอสพอล เมื่อเวลา 11.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคลิปเสียงเทวดาคดีดิ ไอคอน กรุ๊ป ที่ปรากฏเทวดาอักษรย่อ ส.ว่า ส่วนนี้สืบสวนหาข้อมูลพบแล้วว่า มีเส้นเงินที่ไปถึงจริง แต่เป็นเส้นเงินระหว่างนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล กับแม่นักการเมือง ส. แต่การจะดำเนินคดีต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากบอสพอลว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ เส้นเงินที่ตรวจพบโอนเงินจริงอยู่ที่ 7-8 แสนบาท ยังไม่ถึง 2 ล้านบาท คลิปเสียงเทวดาจะดำเนินการเอาผิดได้หรือไม่อยู่ที่ผู้เสียหาย สัปดาห์นี้จะให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำบอสพอลเพิ่มเติม
...
ผู้สื่อข่าวถามว่าคลิปเสียงเทวดาดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึง สคบ.หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติระบุว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กุพยานขึ้นมาพาดพิง ทำให้หน่วยงานต่างๆเสียหาย เบื้องต้นทนายบอสพอลมาแจ้งเอาผิดข้อหาหมิ่นประมาท ทั้งตัวนายเอกภพและพยานเท็จไปบ้างแล้ว รวมถึงตัวนายเอกภพเองจะถูกดำเนินคดีเพิ่มข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมฯด้วย ตอนนี้ต้องรอการให้ปากคำของฝั่งผู้แจ้งความให้เรียบร้อยก่อน ถึงให้คณะกรรมการพิจารณาต่อไปว่าจะออกหมายเรียกนายเอกภพเข้ามาให้ปากคำเมื่อไหร่
ส่วนกรณีบอสพอลพูดเองว่า มีเทวดาใน สคบ. นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติยืนยันว่า จากการพูดคุยทราบว่า เป็นการสอนลูกน้องว่าทุกสถานที่หรือหน่วยงานต่างๆ จะมีเทวดาดูแล เวลาไปหน่วยงานไหนให้ไปผูกมิตรผูกสัมพันธ์มีของขวัญไปฝากเทวดาผู้นั้น เพื่อให้การประสานงานสะดวกคล่องตัว แต่ประเด็นเรื่องเรียกรับเงิน บอสพอลไม่ได้พูดอะไร ขณะที่การดำเนินคดีนักร้องเรียนหญิง ก. ตำรวจตรวจสอบเส้นทางการเงินแล้ว มีข้อหาที่เข้าข่ายความผิดแล้วคือ กรรโชกทรัพย์ ตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าเข้าข่ายข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบตามมาตรา 148 ด้วยหรือไม่ เมื่อชัดเจนจะพิจารณาออกหมายเรียกหรือออกหมายจับ
ส่วนคดี น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ แจ้ง ความดำเนินคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ข้อหาฉ้อโกงเงินประมาณ 71 ล้านบาท ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.กล่าวว่า ขณะนี้สอบปากคำ น.ส.จตุพร ไปแล้วหลายครั้ง ความคืบหน้าภาพรวมอยู่ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ มีการสืบสวนควบคู่กันไป หากได้หลักฐานพยานต้องมาพิจารณาว่ามีอะไรสอดคล้องกันหรือไม่ และทนายตั้มกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ต้องดำเนินการอย่างไร ที่จะนำตัวทนายตั้มเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ส่วนจะเป็นหมายเรียกหรือหมายจับต้องดูพฤติการณ์ข้อหาต่างๆประกอบ แต่หากหลักฐานใดขัดแย้งหรือไม่ชัดเจน จะเรียกเจ๊อ้อยมาสอบเพิ่มเติมอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าปมเงิน 71 ล้านบาท ถือว่าสอบชัดเจนแล้วหรือไม่ พล.ต.ต.สุวัฒน์กล่าวว่า ขณะนี้สอบชัดเจนไปแล้วบางส่วน แต่ยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาต่อ ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าทนายตั้มจะเข้ามาพบตำรวจนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสาน สำหรับกระแสข่าวทนายตั้มจะหนีออกนอกประเทศนั้น ตนคาดว่าทนายตั้มไม่หนี เพราะเห็นออกหน้าสื่ออยู่ตลอด แต่หากออกไปนอกประเทศจริง ไม่มีผลกระทบอะไรกับคดี ส่วนกำหนดการออกหมายเรียกหรือหมายจับขอไม่กำหนดว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ อยากทำงานให้ละเอียดที่สุด ขอเวลาดำเนินการสอบสวนให้รอบครอบ
“สำหรับเรื่องให้เงินด้วยความเสน่หานั้น เป็นเรื่องในสำนวน ผมยังไม่ขอพูด และในส่วนมีข่าวลือไปค้นตรวจสอบบ้านพักบางจุดที่เกี่ยวข้องกับทนายตั้ม ตำรวจมีการค้นตามหลักฐานปกติ ไม่ขอพูดว่าไปค้นที่ใดบ้าง แต่จากการค้นยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อคดี” พล.ต.ต.สุวัฒน์กล่าว
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่