ตำรวจกองปราบปรามซุ่มสอบปากคำ “เจ๊อ้อย” แล้ว ยันรับทำคดีเพราะ ตร.สั่ง และเป็นคดีที่ประชาชนสนใจจะทำคดีแบบตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ด้านทนายตั้มยันเงินกว่า 71 ล้านบาท เป็นเงินที่ “เจ๊อ้อย” ผู้เสียหาย ให้ด้วยความเสน่หา มีหลักฐานพร้อม กำลังให้ลูกน้องในสำนักงานทนายความรวบรวมใช้พิสูจน์ความจริงต่อสู้คดีชั้นศาล ประกาศพร้อมเข้าให้การตำรวจตามหมายเรียก และยังไม่คิดฟ้องกลับใคร ส่วนเรื่องภาษีแจ้งเจ้าหน้าที่ไปแล้ว อยู่ระหว่างประเมินว่าต้องเสียเท่าไหร่

กรณี น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย อุบลเลิศ เศรษฐินีชาวไทยอาศัยอยู่ประเทศฝรั่งเศส มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ดำเนินคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ข้อหาฉ้อโกง หลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ อ้างได้รับโควตาจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่หลังจากโอนเงินให้ 2 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทยประมาณ 71 ล้านบาท แต่การดำเนินการไม่คืบหน้า มอบหมายให้ทนายความติดต่อทวงเงิน หลังจากนั้นร้องเรียนไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สั่งการให้โอนคดีจาก สภ.ปากช่อง มาให้กองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ดำเนินการตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อเวลา 14.45 น. วันที่ 28 ต.ค. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.เผยว่า สำนวนนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สั่งให้โอนสำนวนมาที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อรับแล้วพิจารณาว่า ความผิดลักษณะนี้อยู่ในอำนาจการสอบสวนของกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) จึงส่งต่อให้ทำคดีเพื่อดำเนินการสอบสวน ถามว่าจากกระแสข่าวที่มีการสอบปากคำ “เจ๊อ้อย” นอกสถานที่ พล.ต.ต.สุวัฒน์ ตอบว่า การสอบสวนเราสามารถสอบที่ไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นอยู่ที่พนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วว่าพยานต่างๆสะดวกเข้ามาหรือไม่ ถ้าไม่สะดวกต้องการให้เราเข้าไปสอบหรือไม่ เราพร้อมดำเนินการให้ทั้งหมด จึงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ส่วนรายละเอียดขอไม่ลงลึก

...

“ส่วนสาเหตุที่โอนคดีนี้มาให้ตำรวจกองปราบฯ ส่วนตัวเชื่อว่ากองบังคับการปราบปรามมีอำนาจสอบสวนคดีที่มีความยุ่งยาก สลับซับซ้อน หรือประชาชนให้ความสนใจ สุดท้ายคือผู้บังคับบัญชามอบหมายมาจึงเข้าเกณฑ์หลายข้ออยู่ ถ้าถามว่ายุ่งยากหรือไม่ ทุกคนคงจะเห็นว่ามันยุ่งยากหรือไม่ มองเผินๆอาจรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เรายืนยันทุกอย่างจะทำอย่างละเอียดและจะดำเนินการตามหลักฐาน พร้อมให้ความเป็นธรรมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย หรือผู้ถูกกล่าวหา ไม่ดำเนินการตามกระแส หรือตามใจตัวเอง” รอง ผบช.ก.กล่าว

ที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เผยว่า ไม่ได้รู้สึกหนักใจคดีนี้ และยังคงยืนยันตามข้อเท็จจริงที่เคยให้ข้อมูลสื่อมวลชนไป ขณะนี้อยู่ระหว่างให้ทีมงานบริษัทษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด เก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ สำหรับใช้พิสูจน์ความจริง ต่อสู้คดีชั้นศาล ยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกหนักใจหรือกังวลใจใดๆ ส่วนนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ตนคงไม่มีอะไรจะฝากไปถึง ขอให้รอดูการพิสูจน์ความจริงในกระบวนการกฎหมาย ส่วนตัวพี่อ้อยเองยืนยันว่าถึงขณะนี้ยังไม่ได้มีการติดต่อไปเพื่อขอเจรจาหรือไกล่เกลี่ยใดๆทั้งสิ้น

ถามว่าสังคมมองว่าไม่มีใครให้เงินด้วยความเสน่หาขนาดนั้น ทนายตั้มตอบว่า ขอให้อยู่ในสำนวนและหลักฐานก็แล้วกัน เพราะบอกไปบางคนอาจไม่เชื่อ แต่จะบอกให้ว่า สิ่งที่พูดตนยืนยันหนักแน่นแล้วเป็นความจริงทุกคําเวลาสัมภาษณ์สื่อ แต่ขอให้รอดูผลเรื่องนี้จะดีกว่าว่าจะเป็นยังไง บางเรื่องมันต้องใช้เวลา บอกตรงๆว่าวันนี้ไม่อยากให้สัมภาษณ์เพราะว่าพูดไปก็เท่านั้น ยังไงคนก็ไม่เชื่ออยู่ดี ถามย้ำว่า เงินที่เจ๊อ้อยให้ 71 ล้านบาท ให้ด้วยความเสน่หาอยู่หรือไม่ ทนายตั้มตอบว่า อย่างที่เคยบอกไปออกรายการที่ให้สัมภาษณ์ทุกอย่าง การไปออกรายการตนไม่กล้าโกหกผ่านสื่ออยู่แล้ว อย่าลืมตนเป็นทนายความ ทำอะไรทุกอย่างผมมีหลักฐาน

ถามว่าเมื่อเจ๊อ้อยให้ด้วยความเสน่หาแล้วทำไมถึงไปแจ้งความดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง ทนายตั้ม ตอบว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบ แต่ต้องไปพิสูจน์กันว่าสิ่งที่เขามาแจ้งความดำเนินคดีเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เรื่องนี้เดี๋ยวเขาคงไปให้การเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนตัวต้องขอบอกก่อนว่าจะไม่รีบไปให้การ เพราะกลัวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีเวลาทำงานน้อย ถ้าไปมอบตัวเร็วจะทำให้คดีที่ยืดได้แค่ 4 ผัดมันช้า แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหนังสือเรียกให้ไป ถึงจะไป ถามว่าจะแจ้งความกลับกับเจ้าของเงินหรือไม่ ทนายตั้ม ตอบว่า ตอนนี้ยังจะไม่ดำเนินคดีกลับใดๆทั้งสิ้น แต่อนาคตต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตัวเอง เรื่องนี้ตนไม่ติดต่อไป ขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่เคยติดต่อใครไป ทั้งทางคนใกล้ตัว ทั้งเลขา หรือแม้กระทั่งตัวพี่อ้อยเอง ไม่มีการติดต่อไป ณ เวลานี้

ถามว่าจะฝากอะไรไปถึงเจ๊อ้อยหรือไม่ ทนายตั้ม ตอบว่า ต้องขอบอกอย่างนี้ว่า ตนมันถูกโฉลกกับคนที่ถูกรางวัลใหญ่ๆ พี่อ้อยถูกรางวัลใหญ่ที่ต่างประเทศมาก็ให้เงินให้ทองตน ตนถูกโฉลกกับคนแบบนี้ ส่วนประเด็นการเสียภาษี ไม่ต้องห่วง เพราะเป็นทนายความ การเสียภาษีขณะนี้โดนตรวจสอบภาษีอยู่ ขณะที่เงินเข้ามาในบัญชีแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบแล้ว ภาษีต้องเสียประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินว่าต้องเสียเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างแจ้งเจ้าหน้าที่ไปหมดแล้ว

“ที่ผมหนักใจที่สุดคือ กรณีกระแสสังคมอย่างเดียว เพราะว่าพูดไปตอนนี้ก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ว่าตัวผมโดนเรื่องนี้มาหลายรอบแล้ว โดนมาตั้งแต่ตอนทำคดีหวย 30 ล้านบาท ช่วงระหว่างปี 2561-2562 ตอนนั้นมีคนกล่าวหาผมไปต่างๆนานาเยอะแยะไปหมด หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมทำเรื่องไบโอเมทริกซ์กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.ผมก็โดนหมายจับกับพี่ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ถูกกล่าวหาว่าเป็นทนายสีเทา ปัญหาทุกอย่างผ่านมาหมดแล้ว ทำให้เรื่องพวกนี้ไม่มีความหนักใจอะไรมาก” ทนายตั้มกล่าว

...

ถามว่า กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาบอกว่า ทนายตั้มนำเงินไปซื้อบ้านหลังละ 40 กว่าล้านบาท ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทนายตั้มตอบว่า เรื่องนี้เป็นส่วนของตนว่าจะนำเงินไปจัดการอะไร ถามว่าอยากฝากอะไรไปถึงนายสนธิหรือไม่ ทนายตั้มตอบว่า ไม่ฝากอะไรไปถึงดีกว่า แต่ขอให้ทำตามคำที่ลั่นวาจากันเอาไว้ก็แล้วกัน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่