นักกีฬาผู้พิการทางสายตา 150 ชีวิตบุกร้องกระทรวงยุติธรรม ช่วยตรวจสอบการกระจายโควตาลอตเตอรี่ของสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย หลังได้โควตาจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลถึงงวดละ 2,647 เล่ม แต่ไม่ถึงมือนักกีฬาเลย แฉข้อมูลมีนอมินีลงชื่อเป็นผู้รับสลากฯแต่ไม่ได้ไปจริง ได้แค่ค่าจ้างงวดละ 1 พันบาท อ้างตรวจสอบพบเงินเข้าบัญชีนายกสมาคมฯเดือนละ 20 ล้านบาท อดีตนักกีฬาทีมชาติหญิงโอด สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติมาตลอด ขอไว้ ขายเป็นรายได้แค่งวดละ 4-5 เล่มก็พอแล้ว ดีเอสไอรับเรื่องตรวจสอบ แต่ต้องกลับไปดูข้อกฎหมายอีกครั้ง
ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ก.ย. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พาผู้พิการตาบอด 150 คน เข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้ตรวจสอบกรณีฮั้วจัดสรรโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล กระจุกตัวอยู่กับคนกลุ่มหนึ่งไม่ถึงมือผู้พิการ มีนายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม ฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายการเมือง และนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม และ ร.ต.อ.ธรรมวิทย์ แต่งภูมิ ผอ.ส่วน 1 กองกิจการอำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นตัวแทนรับเรื่อง
นายษิทรากล่าวว่า กลุ่มนักกีฬาคนตาบอดมาร้องทุกข์กับตน หากย้อนไปจะพบว่า นักกีฬาคนพิการออกไปแข่งขันเอาชัยชนะเอาเหรียญเงินเหรียญทองกลับมาให้ประเทศชาติ แต่ไม่ได้รับการจัดสรรโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล ทั้งๆที่ชื่อสมาคมที่เกี่ยวข้องชัดเจนคือสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย แต่ปรากฏว่าสมาคมนี้ได้รับสลากกินแบ่งจากสำนักงานสลากกินแบ่งฯทั้งหมด 2,647 เล่ม แต่ไม่ถึงมือนักกีฬาเลย ตนตรวจสอบทราบว่า อาจมีการฮั้วกันคือ คนใดคนหนึ่งรับสลากกินแบ่งฯหาบัญชีม้าที่ไม่ใช่นักกีฬาแต่เป็นสมาชิกสมาคมไปรับสลากคนละ 20-30 เล่ม แต่ไม่ได้รับสลากจริง เป็นเหมือนบัญชีม้าได้รับผลตอบงวดละ 1,000 บาท
...
“อยากปรึกษาดีเอสไอว่า การกระทำดังกล่าวตรวจสอบเส้นทางการเงินได้หรือไม่ เพราะข้อมูลที่ตนได้รับจากสมาคมพบว่า มีเงินเข้านายกสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทยประมาณ 200-300 ล้านบาท ตกเดือนละประมาณ 20 ล้านบาท เป็นเงินจากอะไร บัญชีที่มารับสลากจริงหรือไม่ เพราะถ้ารับจริงต้องมีการโอนเงินจ่ายสมาคมอีกทั้งเสียภาษีตามกฎหมายหรือไม่ ยังมองไปถึงสถานการณ์เอาชื่อพี่น้องคนตาบอดทั่วประเทศไปอยู่ในสมาคมต่างๆ แต่ไม่เคยได้รับสิทธิประโยชน์เลย หากกระทรวงยุติธรรมทลายเครือข่ายนี้ได้ เปิดโปงว่าเอาไปกระจุกไว้กับคนกลุ่มเดียว จะทำให้พบอีกหลายสมาคม ท้ายสุดจะทำให้พี่น้องคนพิการได้สลากไปขายเลี้ยงชีพ” ทนายตั้มกล่าว
นายสมชาย ปัญญ์เอกวงศ์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขอบคุณกระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ รวมทั้งทนายตั้มที่ช่วยเหลือครั้งนี้ ที่ผ่านมาการคัดเลือกนักกีฬาคนตาบอดไปแข่งขันอย่างยุติธรรม ไม่ใช่เอาแต่พรรคพวก เพื่อกลับมาได้มีงานทำเหมือนนักกีฬาปกติทั่วไป มียศ มีตำแหน่ง แต่ก็ไม่ได้รับโอกาส หากจะแก้ไขปัญหาไม่ใช่เฉพาะสมาคมกีฬาคนตาบอดฯเท่านั้น แต่รวมถึงสมาคม มูลนิธิ องค์กร ที่ได้รับจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาล พบว่าร้อยละ 90 ไม่เป็นธรรม
น.ส.สุภดี ปานเสน่ห์ อายุ 41 ปี อดีตนักกรีฑาหญิงระยะสั้นกล่าวว่า ตนเป็นนักกีฬามา 10 สมัย เล่นมาตั้งแต่ปี 2544-2552 ชนะมาตลอด ได้เหรียญทองมาให้ประเทศชาติ ไม่เคยทำให้คนไทยผิดหวัง แต่ปัจจุบันไม่ได้รับการจัดสรรโควตาสลากจากสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทยแม้แต่เล่มเดียว เราทำอะไรเพื่อประเทศชาติมานาน พอวันนึงไม่ได้เล่นกีฬาแล้ว แค่ขอความอนุเคราะห์ให้สมาคมจัดสรรเล่มลอตเตอรี่ให้ขายหาเงินเลี้ยงชีพ ที่ผ่านมาพยายามประสานขอความอนุเคราะห์ แต่ไม่เคยได้รับการจัดสรรที่เพียงพอขอแค่ 4-5 เล่มต่อคนก็พอ
นายสมบูรณ์ ม่วงกลํ่า ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า วันนี้ขอความร่วมมือดีเอสไอรับเรื่องและเอกสารเพื่อประมวลที่มาที่ไป ได้ข้อมูลเบื้องต้นและเอกสารชี้แจงจากสำนักงานสลากกินแบ่งฯเมื่อเดือน มี.ค. สรุปใจความสำคัญได้ว่า การให้โควตาสลากในนามสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทยต้องเป็นสมาชิก ทนายตั้มและนายสมชายอธิบายให้ฟังว่า มีการกีดกันเกิดขึ้น แม้ไม่ใช่หน้าที่กระทรวงยุติธรรมแต่เมื่อมาหาเราจะรวบรวมปัญหาเสนอ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประสานนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ยืนยันว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่
นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม กล่าวว่า เรื่องร้องเรียนทุกประเด็นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ดีเอสไอต้องประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันนี้ต้องรับฟังพยานหลักฐานต่างๆของผู้ร้องก่อน นำข้อมูลทั้งหมดไปประมวลเรื่องก่อนตั้งเลขสืบสวนคดีพิเศษ เพื่อส่งหนังสือเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ถ้อยคำ จะดูด้วยว่าพฤติการณ์กระทำความผิดทางอาญาเรื่องใดบ้าง รวมถึงเข้าองค์ ประกอบ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษหรือไม่ แต่อาจเข้าข่ายยักยอกหรือฉ้อโกงก็เป็นได้ อาจจำเป็นต้องนำเรื่องเข้าคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ประเมินจากความหนักเบาของเรื่องราวและผลกระทบต่อสังคม