“รองเต่า” ประชุมเครียดคณะทำงานคลี่คลายคดีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำ หายจากสถานีตำรวจน้ำสัตหีบ มติที่ประชุมฟัน 157 สว. 1 นาย และชั้นประทวน 2 นายที่เข้าเวร นอกนั้นหลักฐานไม่ถึง ยันไม่พบผู้บังคับบัญชาระดับสูงเกี่ยวข้อง ส่วนการตรวจสอบแชตเจรจาหลุด “ผู้กำกับเน่า” รับแล้วว่าเป็นตัวเอง แต่ไม่ได้เรียกรับผลประโยชน์เลยทำอะไรไม่ได้ ตีปี๊บเตรียมออกหมายจับ “เสี่ยโจ้” พร้อมพวกประมาณ 4-5 คน ความผิดเรือน้ำมันเถื่อนหายและขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน
กรณีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำ ประกอบด้วยเรือ เจ.พี. เรือซีฮอต และเรือดาวรุ่ง บรรทุกน้ำมันเถื่อน รวม 330,000 ลิตร หายไประหว่างจอดเทียบท่ารอการดำเนินคดีบริเวณท่าเทียบเรือตำรวจน้ำ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.เป็นหัวหน้าคณะลงไปตรวจสอบหาคนรับผิดชอบ เบื้องต้นสั่งย้าย พ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผกก.5 บก.รน.พร้อมลูกน้องรวม 4 คนเข้ากรุ ศปก. บช.ก.ขาดจากตำแหน่งเดิม พร้อมส่งชุดสืบสวน บก.ป.ลงพื้นที่ไล่ล่าเรือกลับมาดำเนินคดีได้แล้ว แต่น้ำมันในเรือถูกสูบออกไปหมดตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ความคืบหน้าจากกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 1 ก.ค. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.ศราวุฒิ ลิจฉวีราช รอง ผบก.รน. พ.ต.อ.ราม รสหอม รอง ผบก.รน. และคณะกรรมการชุดคลี่คลายคดีเรือน้ำมันเถื่อนหาย ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดี ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.
หลังการประชุม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว เผยว่า มติที่ประชุมได้ข้อสรุปแล้วว่า จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ ประกอบด้วย ตำรวจระดับสารวัตร 1 นาย และชั้นประทวน 2 นาย รวมถึงเตรียมประสานให้ บก.รน.ส่งตัวแทนเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อแจ้งเอาผิดตามมาตรา 157 กับตำรวจชั้นประทวนทั้ง 2 นายนี้เพิ่มเติม นอกจากนี้หลังเสร็จสิ้นคดี จะดำเนินการยื่นฟ้องคดีละเมิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กรณีทำให้ทรัพย์สินราชการหรือของกลางเสียหายด้วย
...
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดการดำเนินคดีมาตรา 157 จึงมีเพียงตำรวจชั้นประทวน 2 นาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า เนื่องจากตรวจสอบทุกมิติแล้ว พบว่า เป็นการกระทำที่บกพร่องต่อหน้าที่ ละเว้นไม่เข้าเวรยามจนเป็นเหตุให้เรือน้ำมันเถื่อนของกลางหาย กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา เราทำตามข้อเท็จจริง ผิดหรือถูกว่ากันในศาล ส่วนตัวสารวัตรจากการตรวจสอบไม่พบว่าเข้าข่ายความผิด 157 ตำรวจมีหน้าที่รับผิดชอบ เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นอุทาหรณ์ สอนให้ต้องตระหนักต่อหน้าที่ ไม่ใช่ปล่อยปละจนเกิดความเสียหาย ยอมรับว่าเห็นใจ แต่ในเมื่อเราถือกฎหมายเหมือนกัน ถ้าคุณคิดว่าที่เราสั่งงานแล้วไม่ทำจนทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าไม่ดำเนินคดีภาพรวมของตำรวจก็เสียไปด้วยจึงไม่สามารถปล่อยผ่านได้
“ส่วนกรณีตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์มือถือของตำรวจน้ำทั้ง 9 นาย ขณะนี้ตรวจสอบไปแล้วทั้ง 8 เครื่อง ไม่พบความผิดปกติ คงเหลือเพียง 1 เครื่องซึ่งเป็นเครื่องของ ผกก.ที่ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากไฟล์มีขนาดใหญ่ ทางกองปราบปรามอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการ ยืนยันจะตรวจสอบให้ครบทุกมิติ เพื่อพิสูจน์ทราบให้แน่ชัดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดเรื่องที่เกิดขึ้นจึงไม่มีการดำเนินการวินัยร้ายแรงกับนายตำรวจระดับบน หรือผู้บังคับบัญชา แต่กลับเอาผิดเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาระดับสารวัตรและชั้นประทวน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ชี้แจงในส่วนนี้ว่า เราให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก เหตุที่เจ้าหน้าที่ระดับผู้การ รองผู้การไม่ได้ถูกเอาผิดนั้น เพราะมองว่า ความรับผิดชอบในส่วนของการดูแลเรือของกลางเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบสารวัตร ไม่ใช่ตำรวจระดับผู้ใหญ่จะไม่ถูกตรวจสอบ เราตรวจสอบหมดครอบคลุมทุกมิติ หากพบว่าผิดต้องถูกดำเนินการไม่ต่างกัน
พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวว่า ส่วนเรื่องการออกหมายจับเพิ่มเติม เบื้องต้นพูดคุยกับ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป.ทราบว่า ทั้งในส่วนของคดีเรือน้ำมันเถื่อนของกลางหายและคดีขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน คาดว่าจะขออำนาจศาลออกหมายจับได้ภายในสัปดาห์นี้ราวๆ 4-5 คน เบื้องต้นพบว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน ยืนยันว่าในจำนวนนี้มีเสี่ยโจ้รวมอยู่ด้วย ส่วนเรื่องแชตหลุด เบื้องต้นสอบปากคำนักข่าวที่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไว้บางส่วน รวมถึงสอบปากคำ พ.ต.อ.วรเอก เนตินิยม ผกก.ประจำ บก.รน.ชปรน.ที่ 4 หรือผู้กำกับเน่าเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวยอมรับว่าคนในแชตเป็นตนจริง แต่ขอปฏิเสธเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ ส่วนคู่สนทนาในแชต จากแนวทางสืบสวนเชื่อว่าเป็นเสี่ยโจ้
พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าวต่อว่า ในส่วนของ “หนุ่มเพชรบุรี” เจ้าหน้าที่พยายามโทรศัพท์ไปหาแต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ รวมถึงส่งหนังสือเชิญตัวมาให้ปากคำแล้วแต่ยังไม่มีการตอบรับ จึงเตรียมส่งเจ้าหน้าที่ไปหายัง อบจ.เพชรบุรี เพื่อซักถามข้อสงสัยให้กระจ่างชัดว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการเรียกรับเงินผลประโยชน์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ ทั้งนี้ อยากให้เจ้าตัวออกมาพูดความจริงทุกอย่างจะดีกว่า ยิ่งแฉยิ่งดี จะได้ปัดกวาดบ้านตัวเองให้หมด ส่วนเบาะแสที่ซ่อนตัวเสี่ยโจ้ จากแนวทางสืบสวนยังเชื่อว่า หลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศกัมพูชา หากหมายจับออกทางชุดคลี่คลายคดีจะเริ่มกระบวนการนำตัวกลับมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่