เขียนเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองมาหลายวัน...เขียนแล้วก็ทำให้ใจฝ่อ เพราะกลัวว่าการเมืองไทยจะหมุนกลับเข้าสู่วงจรเดิมที่เต็มไปด้วยการขัดแย้ง การเผชิญหน้า ฯลฯ

อย่ากระนั้นเลยหันมาเขียนเรื่องที่ทำให้ใจฟูสลับบ้างดีกว่า โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความสำเร็จของคนไทย ชื่อเสียงเกียรติยศของคนไทยที่ได้รับความชื่นชมจากนานาอารยประเทศเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา

เรื่องแรกเลยก็เรื่องของสนามบินสุวรรณภูมิที่นำโดยผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายกิตติพงศ์ กิตติขจร กับทีมงานของท่านที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อวันที่เครื่องบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ตกหลุม อากาศเสียหายหนักจนต้องขอลงสนามฉุกเฉิน ขณะบินจากลอนดอน

อย่างที่เราทราบสนามบินสุวรรณภูมิจัดเตรียมการต้อนรับเหตุการณ์ได้อย่างเยี่ยมยอด แพล็บเดียวรถฉุกเฉินมารอเต็มสนาม คณะแพทย์พยาบาลและหน่วยช่วยเหลือฉุกเฉินก็มารอรับเต็มสนามเช่นกัน และเมื่อเครื่องลงเรียบร้อยก็ส่งหน่วยกู้ภัยเข้าช่วยเหลือ และนำผู้โดยสารที่บาดเจ็บสาหัสส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วแล้วเสร็จเพียงไม่กี่นาที

ได้รับคำชมทั้งจากรัฐบาลสิงคโปร์และสื่อต่างชาติกระหึ่มไปหมด นำชื่อเสียงเกียรติยศมาสู่ประเทศไทยของเราโดยไม่ต้องไปลงทุนโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ไหนให้เสียเงินเสียทองแต่ประการใด

นอกจากเขาจะชื่นชมในเรื่องความพร้อมต่างๆแล้ว ต่อมาผู้เจ็บป่วยอีกหลายๆรายที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีจากหมอพยาบาลและโรงพยาบาลของเรา ก็ให้สัมภาษณ์ชมเปาะแก่สื่อต่างประเทศ

ถือเป็นการประชาสัมพันธ์นโยบายที่รัฐบาลไทยจะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์การรักษาพยาบาลของอาเซียน” โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกเช่นกัน

ก็มีเกรียนคีย์บอร์ดบางคนจากประเทศเพื่อนบ้านเรา ทำเป็นตั้งคำถามแซะไทย ทำไมสิงคโปร์แอร์ไลน์ไม่ลงที่ ลาว ที่ กัมพูชา ที่ เวียดนาม บ้าง...อาจไม่มีคนเสียชีวิตเลยก็ได้

...

ปรากฏว่าโดน “ทัวร์ลง” จนหงายเงิบไปตามระเบียบ เพราะการเสียชีวิตนั้นเกิดขึ้นบนอากาศโน่นแล้ว...หลังจากล้อเครื่องบินแตะพื้นสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว ไม่มีใครเจ็บหนักอะไรเลย...มีแต่หายเจ็บหายป่วย อาการดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะหมอไทยและการช่วยเหลือที่ทันท่วงทีของทีมไทยแลนด์

ครับ เพื่อเป็นการขอบคุณทีมงานไทยแลนด์ทุกๆท่านที่สนามบินสุวรรณภูมิและโรงพยาบาลต่างๆ ผมก็ขออนุญาตนำมาบันทึกย้อนหลังไว้ในคอลัมน์นี้เหมือนที่เคยปฏิบัติมา เพื่อให้ลูกหลานไทยในภายภาคหน้า
ที่มาอ่านบันทึกของผมบังเกิดความภาคภูมิใจไปด้วย

อีกหนึ่งข่าวผมขอลงสั้นๆก่อน วันหลังคงต้องหาโอกาสเขียนยาวๆอีกที...เมื่อ 2 วันที่แล้วผมอ่านข่าวดูข่าวจากสื่อทุกแขนง ทำให้ทราบว่าประเทศไทยของเราก็มีโรงงานผลิตยุทธปัจจัยหรือเครื่องมือในการรบและช่วยรบได้เช่นกัน

เมื่อมีการส่งมอบยานเกราะล้อยาง First Win 4×4 รุ่น ATV (Armored Tactical Vehicle) จำนวน 10 คัน ให้แก่ราชอาณาจักรภูฏานนำไปใช้ที่สหภาพแอฟริกากลาง และมีรายงานว่าตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ได้ส่งมอบแก่ภูฏานแล้วถึง 45 คัน

ในข่าวระบุว่าไม่เพียงเฉพาะภูฏานเท่านั้นที่ซื้อรถหุ้มเกราะจากไทย ยังมีกองทัพฟิลิปปินส์ที่ได้สั่งซื้อทั้งสิ้น 900 คัน และขอลอตแรกก่อน 200 คัน ที่เหลือจะทยอยส่งตามไปทีหลัง

ผู้แถลงข่าวที่น่าชื่นใจนี้ก็คือ นาง นพรัตน์ กุลหิรัญ ผู้บริหารบริษัท ชัยเสรีฯ ที่ร่วมทุนกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศในนามบริษัทไทย ดีเฟนส์อินดัสตรี จำกัด ซึ่งมีฉายาว่า “เจ้าแม่รถถัง” แห่งประเทศไทยนั่นเอง

เจ้าแม่รถถังที่มีชื่อเสียงไม่เบาในระดับวงการค้าอาวุธโลก บอกว่าฉายานี้เธอไม่ได้ตั้งเองแต่ฝรั่งเขาตั้งให้ในนามของ “Madam Tank” จากการที่เธอมีโรงงานขนาดพื้นที่ถึง 87 ไร่ที่ปทุมธานี ผลิตรถถังและรถหุ้มเกราะคุณภาพดี ค้าขายอยู่กับกองทัพประเทศต่างๆ ถึงกว่า 40 ประเทศทั่วโลก และส่งออกรถถังและรถหุ้มเกราะไปจำหน่าย นำเงินเข้าประเทศไทยปีหนึ่งๆจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

ถือเป็นข่าวดีอีกข่าวที่ต้องบันทึกไว้ด้วยความภาคภูมิใจว่าเมืองไทยเรามิใช่มีผู้หญิงเก่งอย่าง “มาดามแป้ง” แห่งวงการฟุตบอลเท่านั้น...ยังมี “มาดามรถถัง” หรือ “Madam Tank” นพรัตน์ กุลหิรัญ ด้วยอีกคนนึงนะครับ ฝากชื่อเสียงเรียงนามของมาดามคนใหม่เอาไว้ด้วยก็แล้วกัน.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม