วันนี้ (22 พ.ค. 67) เวลา 09.30 น. ที่พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีทำวัตรเช้า และรับฟังการแสดงพระธรรมเสวนาเนื่องในวันวิสาขบูชา ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยได้รับเมตตาจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นประธานสงฆ์ และพระธรรมกถึก โอกาสนี้ นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร นายราชันย์ ซุ้นหั้ว รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรม รัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ สมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และพี่น้องพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก
การนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ แสดงพระธรรมเทศนา โดยยกเนื้อความในโพธิสูตรเมื่อครั้ง พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรีบรรลุพระอรหันต์ โดยกาลครั้งนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรีได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เพื่อทูลขอให้พระองค์ทรงแสดงธรรม ปรากฏความเบื้องต้นว่า “หม่อมฉันขอประทานวโรกาสเถิดพระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมะแก่หม่อมฉัน เพื่อหม่อมฉันจะได้ฟังธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จะได้เป็นผู้เดียวที่หลีกออกจากหมู่ ประพฤติตนไม่ประมาท มีความเพียรเป็นเครื่องแผดเผากิเลส” โดยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมะโปรดใจความว่า “ดูก่อนโคตรมี...ท่านพึงรู้อย่างนี้ว่า ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อความสงบ อยู่ดี ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อสั่งสมกิเลส ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อความอยากอันใหญ่ ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อความไม่สะดวก ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อความทุกข์ ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อความแค้นยาก พึงรู้เถิดว่า ธรรมะเหล่านั้น ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา แต่ธรรมะเหล่าใด เป็นไปเพื่อปราศจากความกำหนัดย้อมใจ เป็นไปเพื่อไม่ประกอบทุกข์ เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส เป็นไปเพื่อความอยากอันน้อย เป็นไปเพื่อความสันโดษยินดีต่างมีต่างได้ เป็นไปเพื่อความวิเวกสงบสงัด เป็นไปเพื่อความเพียร เพิ่งรู้เถิดว่า ธรรมะเหล่านั้นเป็นธรรมเป็นวินัยเป็นคำสอนของพระศาสดา” เมื่อจบพระธรรมเทศนาพระนางมหาปชาบดีโคตรมีเถรี ซึ่งได้รับฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็พึงได้ใจความนำไปปรับใช้ และจบเนื้อความในโพธิสูตรเพียงเท่านี้
“หลักธรรมตรัสทูลของพระนางมหาปชาบดีโคตรมีเถรี จึงควรเป็นหลักปฏิบัติของเราผู้นับถือพระพุทธศาสนา โดยสามารถสรุปใจความหลักธรรมแบ่งออกได้เป็น 5 ประการ ดังนี้ 1) การเป็นผู้ผู้เดียว คือ เป็นคนๆ เดียว กล่าวคือจะต้องปลีกวิเวก ออกจากความวุ่นวาย ทำจิตใจให้สงบ ต้องปลดบ่วง ในการเป็นห่วงสิ่งใดๆ ที่ใช่หรือไม่ใช่ของเรา เพื่อที่ทำให้เราไม่มีภาระกังวล 2) การปริออกจากหมู่ มีความคล้ายกับข้อที่ 1 ว่า คำว่าหมู่ หรือหมู่คณะนั้น มักเกิดความวุ่นวายด้วยหมู่ชนเพราะฉะนั้น จึงควรเปลี่ยนใจออกจากหมู่ปลีกใจออกจากความผูกพัน ต้องคิดว่าทุกสิ่งไม่ใช่ของเราเกิดได้ก็ย่อมดับได้เพราะฉะนั้นการที่อยู่กับตนเองและปลีกออกจากหมู่จึงคือสิ่งที่ช่วยทำให้จิตใจสงบผ่องใส 3) การไม่เมา ไม่ประมาท เมาในที่นี้ ไม่ใช่การเมาเหล้าเมากัญชาซึ่งเป็นเพียงการเมาชั่วคราวเท่านั้น แต่เมา คือการเมาใจ การเมาในวัยที่เชื่อว่าเราอยู่ในวัยที่พึงสุขพึงเจริญ วัยหนุ่มวัยสาว ไม่เฒ่าไม่แก่ ยังไม่เป็นอะไร เมาในความไม่มีโรค เมาในชีวิต ในความอิสระ เมาว่าชีวิตยังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีข้อผิดพลาด จึงนึกประมาทมัวเมาหลงใหลไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนา ครั้นพอเฒ่าแก่ลำบากจึงจะเข้าวัดฟังเทศน์รักษาศีล ซึ่งในช่วงนั้นร่างกายย่อมไม่เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติธรรมให้จรรโลงและบรรลุผล เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ควรประมาทมัวเมาหลงใหล ต้องหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาให้อยู่เป็นนิจ 4) การมีความเพียร เพื่อแผดเผากิเลส คำว่าเพียรเผากิเลสนั้น หมายความว่า การทำสิ่งใดให้รอบคอบ พยายามคิดให้ถี่ถ้วนสม่ำเสมอ ไม่ใช่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพราะความย่อหย่อนย่อมนำมาซึ่งกิเลส ดังนั้นจึงต้องมีสติ ขยัน รอบคอบ เพื่อให้ใช้ความเพียรแผดเผากิเลส ให้ครอบคลุมทั่วถึงทั้งจิตใจ และ 5) การมีตนส่งไปแล้ว คือ การไม่ถือตน ถือยศฐาบรรดาศักดิ์ เพราะการถืออัตตาในตัวเองย่อมทำให้เรามีอคติเอือมระอากับสิ่งใดๆ ที่พบเจอ ดังนั้นการมาวัด ฟังธรรมะปฏิบัติ พึงจะต้อง ไม่เอาตนมาด้วย แต่พึงเอาจิตใจที่บริสุทธิ์เข้ามาเพื่อปฏิบัติธรรมให้เกิดผลมากที่สุด สิ่งเหล่านี้คือหลักธรรมที่พระนางมหาปชาบดีโคตรมีเถรี ได้ทรงนำมาปฏิบัติเป็นนิจ จนในที่สุดก็ส่งผลให้ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น สาธุชนจงกำหนดจดจำและนำไปประยุกต์เข้ากับจิตใจของตนเอง และปฏิบัติดำเนินตามข้อธรรมะที่แสดงมานี้ อันจะทำให้เกิดความสุขสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล เจริญในธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกทิวาราตรี ดังแสดงมาด้วยประการฉะนี้เทอญ” สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวเพิ่มเติม
ด้าน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยร่วมกับมหาเถรสมาคม ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนพุทธศาสนิกชน ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา และเวียนเทียน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก ประจำปีพุทธศักราช 2567 ในเวลา 19.00 น. พร้อมกันทั่วประเทศ โดยในส่วนกลาง กระทรวงมหาดไทยร่วมกับมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดขึ้น ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ ส่วนภูมิภาค ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ร่วมกับเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าคณะอำเภอ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ เป็นประธานในพิธี พร้อมกันนี้ ทางจังหวัด ยังมีการมอบแผ่นภาพ “ธรรมนาวา” ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้รับพระราชทานเบื้องหน้าพระบรมมาฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและเพื่อความเป็นสรรพสิริมงคลแก่ประชาชนเนื่องในวันวิสาขบูชา ประจำปีพุทธศักราช 2567