ตอนแรกที่เข้าไปสถานีตำรวจบ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 เพียงแต่ตั้งใจไปสังเกตการณ์เพราะมีข่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และตำรวจจะเอาเด็ก 126 คนจาก ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 6 จ.อ่างทอง มาแวะพักที่นี่ก่อนจะส่งกลับภูมิลำเนา
ตอนนั้น...ยังไม่ค่อยได้ตามข่าวนี้ อ่านจากสื่อบางสำนักที่รายงานเสมือนว่า จู่ๆมี “เด็กต่างด้าว” กว่าร้อยคนไปโผล่ที่อ่างทอง เขา พาดหัวข่าวให้ฟังดูน่าตื่นตะลึง...น่างงงวย พร้อมๆกับคำสัมภาษณ์ของฝ่ายปกครองและตำรวจ ประมาณว่าจะต้องตรวจสอบว่าถูกบังคับล่อลวงมาหรือไม่
ย้อนภาพจำในวันวาน...เมื่อหนึ่งในทีมสำนักข่าวชายขอบกับน้องๆนักข่าวในพื้นที่ไปถึงสถานีตำรวจบ้านดู่ ดูท่าทางตำรวจ (ส่วนกลาง) และเจ้าหน้าที่ พม.จะออกอาการอึกๆอักๆ
แต่...โชคดีที่วันนั้นบังเอิญมีทั้งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นักวิชาการด้านกฎหมาย อดีต สว.มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
ซึ่งจริงๆแล้ว...ทั้งหมดเดินทางมาเพื่อร่วมงานสัมมนาอีกงานหนึ่ง จึงถือโอกาสแวะมาดูเด็กๆ
...
ทางเจ้าหน้าที่ได้พยายามเชิญ (ต้อน) ให้พวกเราขึ้นไปอยู่บนห้องประชุม และมีตำรวจใหญ่นายหนึ่งเล่าถึงที่มาที่ไปของเด็กกลุ่มนี้ แต่ที่เขากำชับเราในฐานะสื่อเป็นพิเศษคือ...ห้ามถ่ายภาพเด็กๆ
...ไม่ใช่กำชับธรรมดา แต่ออกจะเป็นเสียงขู่เสียมากกว่า ทั้งๆที่เป็นจรรยาบรรณขั้นพื้นฐานที่สื่อมวลชนรู้อยู่แล้ว
“เมื่อรถบัสของเด็กๆมาถึง เขาแจกข้าวกล่องให้เด็กๆกินข้าวบนรถบัส ทั้งๆที่เด็กๆนั่งรถกันมาหลายชั่วโมงแทนที่จะได้ลงมายืดเส้นยืดสายกันบ้าง
เข้าใจว่าเขาคงกลัวสื่อมวลชนจะถ่ายภาพ จากนั้นจึงพาเด็กๆ ไปไว้ตามบ้านพักเด็กต่างๆ โดยเก็บตัวเด็กๆไม่ให้เจอกับคนนอกเลย”
แต่...อาการลุกลี้ลุกลนของทางการทำให้ต้องรู้สึกประหลาดใจและหาความรู้จากนักกฎหมายและผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่างยืนยันว่า...การเอาเด็กออกจากโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 กลางคันและส่งกลับพม่า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
เพราะนอกจากทำลายโอกาสทางการศึกษาเด็กแล้ว ยังละเมิดกฎหมายและอนุสัญญาที่ประเทศไทยได้ให้การรับรองไว้
เด็กนักเรียนไร้เอกสารทางทะเบียนราษฎร 126 คนกำลังจะถูกส่งกลับพม่าจึงเป็นประเด็นข่าวที่ถูกนำเสนอต่อสาธารณชนในวันนั้น โดยมีข้อมูลหลากหลายด้าน
ยิ่งเมื่อได้สัมภาษณ์ผู้รู้ด้านต่างๆ ทำให้เห็นว่าเรื่องนี้มีความ “ไม่ปกติ” พอสมควร
เห็นได้ชัดว่าหน่วยงานราชการที่ถือกฎหมายคุ้มครองเด็ก ก็ไม่พยายามทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย หน่วยงานที่ถือกฎหมายด้านการศึกษากลับไม่ให้โอกาสการศึกษาเด็กเท่าที่ควร
สำนักข่าวชายขอบพยายามเกาะติดข่าวอย่างต่อเนื่อง แต่ท้ายสุดเด็กๆ ทั้ง 126 คนก็ถูกส่งกลับพม่า ทั้งๆที่สถานการณ์ในพม่ากำลังเกิดการสู้รบจนไม่มีใครอยากอยู่และต้องแสวงหาพื้นที่ปลอดภัยพักอาศัย
“ผมถูกดึงเข้าไปอยู่ในกลุ่มไลน์เด็กๆ 126 คน เมื่อพวกเขาถูกส่งกลับไปแล้ว การพูดคุยกันในกลุ่มในช่วงแรกๆ หลายคนยังหวังว่าจะได้กลับไปเรียนที่อ่างทองอีก แต่ความหวังของพวกเขาก็ค่อยๆเลือนไป ต่อมามีคนเสนอทางเลือกให้เด็กๆได้เรียนในโรงเรียนตามอำเภอชายแดนในจังหวัดเชียงราย...”
หลายคนดีใจเพราะจะได้โอกาสรับการศึกษาต่อ แต่พอจะเข้าไปสู่ระบบโรงเรียน กลับไม่ได้รับการเซ็นรับรองจากผู้ใหญ่บ้าน หลายโรงเรียนปฏิเสธตั้งแต่ต้น แม้กระทั่งโรงเรียนของ ตชด.ก็ยังไม่รับเด็กเหล่านี้
...
สาเหตุสำคัญเพราะนับตั้งแต่เกิดเรื่องและทางการดำเนินคดีกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 พร้อมคณะและส่งเด็กๆ กลับพม่า ทำให้ต่างรู้สึกหวาดหวั่นที่จะรับเด็กกลุ่มนี้เข้าเรียนเพราะกลัวจะสร้างปัญหาให้กับเขา ในที่สุดเด็กกลุ่มนี้จึงไม่มีที่เรียน
วิธีการของ “ราชการไทย” กลายเป็นการประทับตราบาปไว้กับเด็กน้อยทั้ง 126 คน
ทุกวันนี้เด็กๆ 126 คนต่างกระจัดกระจายแทรกซึมเข้าไปในสังคม ซึ่งจำนวนไม่น้อยก็ติดตามพ่อแม่เข้าไปหางานทำในประเทศไทยและถูกกลืนหายไป
จริงๆแล้ว...เรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียนของหน่วยงานราชการที่คาบกฎหมายคุ้มครองเด็กและ พ.ร.บ.การศึกษาฯ ไว้กับปาก? เพราะกลายเป็นประเด็นที่นานาชาติให้ความสนใจ และเชื่อว่าได้มีการรายงานข้อเท็จจริงเหล่านี้ไปยังองค์กรของยูเอ็นที่ติดตามเรื่องนี้
แต่แล้ว...เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันก็ยังเกิดขึ้นอีกกับเด็กไร้สัญชาติอายุระหว่าง 5-17 ปี 19 คน บ้านครูน้ำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งถูกส่งกลับมาจากวัดสว่างอารมณ์ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี หลังจากเด็กเหล่านี้ไปบวชเรียน แต่ต้องถูกสึกและส่งกลับมาเชียงรายเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา
...
โดยทาง พม.และ ตม.กำลังดำเนินคดีกับครูน้ำเช่นเดียวกับอดีต ผอ.โรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากสร้างความหวั่นไหวให้คนที่ทำงานด้านเด็กและการศึกษาแล้ว ยังส่งผลต่อเด็กโยกย้ายถิ่นฐานอีก จำนวนนับแสนคนในประเทศไทย ทุกวันนี้ในพื้นที่ชั้นใน เรามีสถานศึกษาจำนวนไม่น้อยที่รับเด็กนักเรียนไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎรไว้
คำถามสำคัญมีว่า...ผู้บริหารสถานศึกษาและเด็กๆเหล่านี้จะมีบั้นปลายเช่นเดียวกับ ผอ.ร.ร.ไทยรัฐวิทยา 6 และครูน้ำ และเด็กๆของทั้ง 2 สถานศึกษาหรือไม่
การที่ผู้บริหารระดับนโยบายฟังแต่ข้าราชการด้านเดียวโดยไม่เห็นข้อเท็จจริงในพื้นที่ ทำให้ความเข้าใจ “ตื้นเขิน” เกินกว่าที่จะแก้ปัญหาใหญ่นี้ได้
ในขณะที่รัฐบาลพยายาม “ตีปี๊บ” สร้างระเบียงมนุษยธรรมส่งความช่วยเหลือเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่หนีภัยการสู้รบในพม่า แต่เด็กๆ ที่หนีภัยสงครามเข้ามาถึงประเทศไทยแล้ว แทนที่จะได้รับการโอบกอดอย่างอบอุ่นอยู่ในสถานศึกษาที่ปลอดภัยเพื่อเรียนหนังสือ แต่พวกเขากลับถูกหน่วยงานรัฐหาวิธีผลักดัน...
...
ส่งกลับไปเผชิญ “ความรุนแรง” ในประเทศต้นทางอยู่ตลอดเวลา
สถานการณ์การสู้รบในพม่านับวันยิ่งรุนแรง ขณะนี้มีผู้หนีภัยจากการสู้รบอย่างน้อย 6 แสนคน จ่ออยู่บริเวณชายแดนตั้งแต่จังหวัดเชียงรายไปจนถึงระนอง โดยจำนวนมากเป็นเด็กและเยาวชน
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ “รัฐบาล” ต้องมีนโยบายและทิศทางที่ชัดเจนและสั่งการให้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกันอย่างสอดประสาน เพราะโลกกำลังจับตา “ระเบียงมนุษยธรรม” ที่รัฐบาลกำลังป่าวประกาศอยู่
บางที “การศึกษาเพื่อทุกคน (Education For All)” ที่เขียนไว้สวยหรู แต่สำหรับบ้านเมืองนี้อาจไม่มีจริง?... ถ้าหากรัฐบาลไทยยังไม่มีความ “จริงจัง” และ “จริงใจ” ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม