“บิ๊กต่าย-กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” รักษาการ ผบ.ตร.เข้าพบนายกฯ รายงานผลปฏิบัติตาม ข้อสั่งการ ยืนยันยังไม่มีการพิจารณาเรื่อง พักราชการ ออกราชการ หรือสำรองราชการ หลัง “บิ๊กโจ๊ก-สุรเชษฐ์ หักพาล” มอบตัวที่ สน.เตาปูน ทุกอย่างมีขั้นตอน ยังถือเป็น ผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะได้ข้อสรุป ขณะที่ “ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด” เดินสายส่งข้อมูลให้คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) และ “ชัยธวัช ตุลาธน” ผู้นำฝ่ายค้านทั้งหมดประสานเสียงใหญ่แค่ไหนหากมีมูลต้องเรียกมาตรวจสอบ ย้ำตำรวจต้องให้ความสำคัญกับหน้าที่มากกว่าวิ่งเต้นหาลำไพ่พิเศษ ซื้อ-ขายตำแหน่ง
จากกรณี บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางเข้ามอบตัวในคดีเส้นทางการเงินพัวพันกับเว็บพนัน BNK Master ตามความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ที่ สน.เตาปูน และได้รับการประกันตัวออกมา ต่อมามีกระแสข่าวหน่วยงานต้นสังกัดเตรียมพิจารณาทางวินัยกับนายตำรวจคนดังรายนี้ทันที ทั้งหมดถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดของสังคมและตำรวจทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าเรื่องนี้จะจบไปในทิศทางใด
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เปิดเผยว่า มีประเด็นที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไป 2 เรื่อง คือ การดำเนินคดีที่บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน ต้องสืบสวนสอบสวนในชั้นพนักงานสอบสวน ก่อนสรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นว่าสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการ อีกส่วนหนึ่งกรณีข้าราชการต้องหาคดีอาญาจะต้องมีการรายงานโดยตัวผู้ถูกกล่าวหาคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชาคือ ผบ.ตร. ถึงแม้ในขณะนี้จะไปช่วยราชการอยู่ แต่มีรักษาการ ผบ.ตร.อยู่ เพื่อพิจารณาดำเนินการทางวินัย ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหรือกรรมการพิจารณาทัณฑ์ทางวินัย ทั้งหมดอยู่ในดุลพินิจและอำนาจของ ผบ.ตร.หรือรักษาการ ผบ.ตร.
...
พล.ต.อ.เอกกล่าวด้วยว่า การพิจารณาทัณฑ์ทางวินัย คณะกรรมการที่ดำเนินการสามารถชี้ผิดหรือไม่ผิด จะเป็นวินัยร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง หากวินัยร้ายแรงสามารถเสนอให้ลงโทษถึงขั้นไล่ออก ปลดออก เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เรื่องวินัยเป็นกระบวนการที่แยกออกมาและสามารถสรุปความผิดทางวินัยได้ไม่ต้องรอผลทางคดีอาญา ทั้งนี้ การสอบสวนทางวินัยถึงแม้ว่าจะไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนจนรับฟังได้ว่ามีการกระทำความผิดวินัยร้ายแรงถึงลงโทษให้ไล่ออก ปลดออก แต่คณะกรรมการหรือผู้บังคับบัญชาสามารถพิจารณาได้ว่าการกระทำมีมลทินมัวหมอง หากอยู่ไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการ อาจมีความเห็นให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้
“ขณะนี้กระบวนการพิจารณาพักราชการหรือให้ออกจากราชการเป็นอำนาจของรักษาการ ผบ.ตร. แต่ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็น ผบ.ตร.อำนาจเป็นของนายกรัฐมนตรี แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เป็นรอง ผบ.ตร. ผู้บังคับบัญชาคือผู้ที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ในขณะนี้คือรักษาการ ผบ.ตร. ส่วนประเด็นการถูกดำเนินคดีอาญาจะส่งผลต่อการมีชื่อเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.คนต่อไปหรือไม่นั้น เมื่อถึงเวลากฎหมายให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณารอง ผบ.ตร.และจเรตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นแคนดิเดต 5 คน รวมถึงตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ด้วย” พล.ต.อ.เอกกล่าว
ที่รัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพิจารณาสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หยุดปฏิบัติหน้าที่หลังถูกศาลออกหมายจับว่า ช่วงบ่ายจะประชุมกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร.และทีมกฎหมาย ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาการ ผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าหารือกับนายกฯ ว่า มารายงานความคืบหน้าการสืบสวน ปราบปราม จับกุมตามนโยบาย และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ทั้งเรื่องยาเสพติด เว็บพนัน บ่อนการพนัน แหล่งมั่วสุม แก๊งทวงหนี้นอกระบบ รวมทั้งการพิจารณากรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่เป็นหน้าที่ของตนตาม ม.105 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 การพิจารณานั้นตนต้องได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ 1 ฉบับ และฉบับที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ต้องรายงานว่าต้องคดี ตามระเบียบตำรวจที่ไม่เกี่ยวกับคดี เมื่อรายงาน 2 ฉบับมาถึง ต้องรายงานผ่านมาที่กองคดีอาญาก่อนมาถึงตนเพื่อพิจารณา ขณะเดียวกันกองวินัยต้องรายงานตน โดยเอารายงานทั้ง 2 ทางที่ประกอบด้วย เหตุ พฤติการณ์ ความรุนแรงแห่งคดี นำมาพิจารณาว่ามีเหตุอันควรสงสัยมีการกระทำผิดทางวินัยเกิดขึ้นหรือไม่ เมื่อกองวินัยประมวลแล้วเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาพิจารณาตั้งคณะกรรมการสอบสวนในเรื่องนี้เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและให้โอกาสกับผู้ถูกกล่าวหาได้เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง
“ขณะนี้จะยังไม่มีการพิจารณาเรื่องพักราชการ ออกราชการ หรือสำรองราชการไว้ก่อน เพราะเป็นการปฏิบัติภายใต้กฎ ก.ตร.ที่กำหนดไว้ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจะต้องมียศไม่ต่ำกว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และผมต้องพิจารณาว่าจะมอบหมายให้ใคร หากสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วพบการกระทำผิดวินัยร้ายแรงเกิดขึ้นก็จะไปเข้า ม.119 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยอีกระดับหนึ่ง ขั้นตอนนี้จะพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขกฎ ก.ตร. ตาม ม.112 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯหรือไม่ ผมจะไม่ใช้ดุลพินิจนอกเหนือไปกว่านี้ ต้องแยกระหว่างเรื่องอาญากับวินัย ทุกอย่างมีขั้นตอนกำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่มียื้อเวลา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังเป็นผู้บริสุทธิ์สามารถปฏิบัติหน้าที่ราชการได้ตามปกติ รวมทั้งมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง ส่วนผมต้องให้ความเสมอภาคและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย พิจารณาตามกรอบระเบียบ คำสั่งและกฎหมาย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวด้วยว่า เตรียมรายงานนายกฯเรื่องความคืบหน้าในสิ่งที่ตำรวจอยู่ระหว่างขับเคลื่อนเดินหน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน บ่อนการพนันต้องไม่มี การพนันออนไลน์ต้องหายไป แก๊งทวงหนี้ต้องถูกจับกุม ต้องปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาดจริงจัง อยากให้สื่อมวลชนและพวกเราทุกคนมุ่งหน้าไปสู่เรื่องของการทำให้ประชาชนเชื่อมั่น ไม่เกิดความหวาดระแวงกับสิ่งผิดกฎหมาย รวมถึงเรื่องอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่นายกฯสั่งกำชับจับรายใหญ่ให้ได้ภายใน 30 วัน
อีกด้านที่สำนักงานจเรตำรวจ เวลา 10.00 น. ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางมายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ประธานคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน นางสมศรี หาญอนันทสุข และนายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความฯ ในฐานะ ก.ร.ตร. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีมีนายตำรวจระดับสูงเข้าไปพัวพันเว็บพนันด้วยการเรียกรับผลประโยชน์ ปรากฏตามหลักฐานเส้นทางการเงินและการฟอกเงิน
...
ทนายตั้ม-ษิทรา เปิดเผยว่า ที่มายื่นหนังสือในครั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ มีอำนาจตรวจสอบตำรวจที่เกี่ยวกับการทำผิดและประพฤติมิชอบ นำหนังสือรวมทั้งพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับเส้นทางการเงินเครือข่ายเว็บพนันมีนายตำรวจระดับสูงและนายตำรวจระดับอื่นๆ เข้าไปเกี่ยวข้อง นอกเหนือจากที่ได้แจ้งความดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้แล้วที่ สน.เตาปูน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่ามีการกระทำความผิดจริงหรือไม่ รวมทั้งนำหลักฐานการเรียกรับผลประโยชน์จากตำรวจหน่วยอื่นมายื่นให้ตรวจสอบด้วย ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ถูกออกหมายจับและรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.เตาปูนแล้ว ถือเป็นการเข้ากระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกฎหมาย
พล.ต.ท.สรศักดิ์เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานทั้งหมดและจะร่วมกันพิจารณาเพื่อไปเข้าสู่กระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน ตามกฎหมายคณะกรรมการฯอาจดำเนินการไต่สวนเองหรือมอบหมายให้สำนักงานจเรตำรวจแสวงหาข้อมูล กรณีนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการฯว่า หากรับเรื่องเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วจะใช้อำนาจอย่างไร ส่วนกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานนั้น ยังไม่สามารถกำหนดได้ในขณะนี้
พล.ต.ท.เรวัชระบุว่า ขอให้เชื่อมั่นการทำงานของคณะกรรมการฯชุดนี้ ที่ไม่ได้แต่งตั้งโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แต่ได้รับการคัดเลือกมา ดังนั้นการทำงานจะอยู่นอกเหนืออำนาจ ตร. อีกทั้งไม่ได้ขึ้นตรงกับหน่วยงานใด หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงใครต่อให้ยศ พล.ต.อ.ก็พร้อมจะเรียกมาตรวจสอบ ยืนยันไม่หนักใจหากข้อเท็จจริงปรากฏก็ต้องเอาผิด โทษหนักสุดคือไล่ออก
...
ขณะที่ พล.ต.ท.อำนวยกล่าวถึงกรณีการกลับเข้ามารับตำแหน่งหรือเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. ของนายตำรวจคู่ขัดแย้งทั้งสองคนว่า ขึ้นอยู่กับการพิจารณา หากพบการกระทำความผิดทางวินัย ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตำรวจ อาจเป็นข้อพิจารณาแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่งในอนาคตได้ แต่หากถูกพิจารณาให้ออก ไล่ออกหรือปลดออก ผู้นั้นสามารถไปยื่นอุทธรณ์ที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พท.ตร.) ได้
“ส่วนคดีอาญานั้นเป็นหน้าที่ต้องพิสูจน์ตามกฎหมาย ขณะที่การพิจารณาของ ก.ร.ตร. หากพบว่ามีความผิดตามอาญา ก็จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา” พล.ต.ท.อำนวยกล่าว
จากนั้นเวลา 13.00 น. ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางมาที่รัฐสภาเพื่อยื่นหนังสือกับนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ขอให้ตรวจสอบกรณีพบนายตำรวจระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้องกับบัญชีเว็บพนันและอาจเชื่อมโยงไปถึงครอบครัวด้วย ทนายตั้มกล่าวว่า ขอขอบคุณผู้นำฝ่ายค้านที่เห็นความสำคัญ นับตั้งแต่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ มีแต่ผู้นำฝ่ายค้านที่ประสานขอข้อมูลการทุจริตคอร์รัปชัน อยากให้หน่วยงานทุกภาคส่วนของสังคมมีความกระตือรือร้นในเรื่องปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน หลังจากนี้จะปรึกษาหาวิธีแก้ไขปัญหาส่วยและการคอร์รัปชันในวงการราชการ เพื่อให้มีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนมากกว่านี้
หลังเสร็จสิ้น นายชัยธวัชเปิดเผยว่า ขอบคุณที่นำเอกสารสำคัญมามอบให้กับเรา ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน เมื่อมีเรื่องราวการกล่าวหาทุจริตประพฤติมิชอบในวงการตำรวจ ไม่ว่าจะเรื่องส่วยหรือข้อมูลที่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย ฝ่ายค้านต้องให้ความสำคัญติดตามหาข้อมูล จริงๆแล้วคนที่ควรจะมาขอข้อมูลจากทนายตั้มควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไหนๆตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนเรื่องนี้แล้ว ควรจะได้รับข้อมูลชุดนี้ไปด้วย ฝ่ายค้านเราคาดหวังคณะกรรมการที่นายกฯ ตั้งขึ้นจะไม่เป็นกระบวนการที่เป็นเพียงแค่การหย่าศึก ทำให้เรื่องจบเงียบๆกันไป ยืนยันมาตลอดเรื่องส่วยโดยเฉพาะวงการตำรวจเป็นเรื่องใหญ่มาก เมื่อไหร่ที่ไม่สามารถแก้ระบบส่วยและตั๋วใน ตร.ได้ จะกระทบต่อการปฏิบัติภารกิจของตำรวจที่ควรให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยและสวัสดิภาพกับประชาชนเป็นอันดับแรกมากกว่าวิ่งเต้นหาลำไพ่พิเศษเพื่อซื้อ-ขายตำแหน่ง
...
ขณะที่ทนายตั้ม-ษิทรา กล่าวว่า ได้ฟังผู้นำฝ่ายค้านพูดแล้วมีความมั่นใจมากขึ้น เพราะเท่ากับตอนนี้ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเริ่มเห็นความสำคัญกับเรื่องส่วยและการทุจริตคอร์รัปชัน การที่นายกฯ พยายามเชิญชวนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน แต่ในประเทศยังมีปัญหานี้อยู่เรื่อยๆ กังวลต่างชาติจะไม่เชื่อมั่นเข้ามาลงทุน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่