สังคมปัจจุบันต่างจากสังคมโบราณโดยสิ้นเชิง ที่เชื่อมโยงยาวไกลหลายมิติอย่างซับซ้อน เป็นระบบซับซ้อน (Complexity system) ที่มีคุณสมบัติใหม่ต่างจากเก่า...เข้าใจยาก พยากรณ์ไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ โกลาหลง่าย พลิกผันโดยรวดเร็ว...เครื่องมือเก่าๆใช้ไม่ได้ผล

“คนรุ่นใหม่จึงไม่พอใจสถาบันเก่าๆของสังคมและต้องการการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นความขัดแย้งในลักษณะต่างๆโดยเฉพาะการประท้วง แต่วิกฤติความซับซ้อนนั้นยากเกินกว่าแค่การประท้วง หรือการเลือกตั้งพรรคของคนรุ่นใหม่จะได้ผล เพราะทุกฝ่ายต่างทำไปด้วยจิตสำนึกเก่าเดียวกัน”

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเวศ วะสี ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ บอกอีกว่า “จิตสำนึกเก่า”...เป็นต้นเหตุแห่งวิกฤติโลกในปัจจุบัน การใช้เหตุของปัญหามาแก้ปัญหาไม่มีทางสำเร็จ

 การรักษาตามอาการประดุจใช้ยาพาราเซตามอลมารักษาโรคร้ายจึงไม่มีทางสำเร็จ แม้จะเหนื่อยยากด้วยกันทุกฝ่ายสักเพียงใด จึงจำเป็นต้องเข้าใจสมุฏฐานของวิกฤติอารยธรรมโลกในปัจจุบัน และแก้ที่ต้นเหตุ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนยุคของมนุษยชาติ

“โลกวิกฤติสุดๆ ถึงเวลา...เปลี่ยนยุคของมนุษยชาติ”

...

อาจารย์หมอประเวศ ย้ำว่า อารยธรรมปัจจุบันได้นำโลกมาสู่การเสียสมดุลหมดทุกมิติ ตั้งแต่ธรรมชาติแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนการเสียสมดุลในตัวมนุษย์เอง

การเสียสมดุลคือ การป่วย...ความสมดุลทำให้สงบสุข หรือสุขภาพดีและยั่งยืน

“การเสียสมดุลทุกชนิดทำให้ปั่นป่วน วุ่นวาย รุนแรง วิกฤติและไม่ยั่งยืน ดังที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในโลก ความไม่ยั่งยืนและการใช้สันติภาพหรือความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งความรุนแรงแบบโจ่งแจ้ง และความรุนแรงแบบเงียบ เช่น ความยากจน และความไม่เป็นธรรมทางสังคม”

นักปราชญ์หลายท่านเห็นว่า วิกฤติอารยธรรมโลกขณะนี้ไม่มีทางแก้ไขด้วยจิตสำนึกเก่าและวิธีคิดเก่า เช่น Laslo, Grof และ Russell มีทางเดียวคือ “ปฏิวัติจิตสำนึก”...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “เราต้องการวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ถ้ามนุษย์จะอยู่รอดได้”

“โลกทัศน์ วิธีคิด จิตสำนึก” เป็นตัวกำหนดอารยธรรมหนึ่งๆ โลกทัศน์ หรือการรับรู้โลกว่าเป็นอย่างไร กำหนดวิธีคิดและจิตสำนึก...วิธีคิดและจิตสำนึกอะไรที่นำมาสู่วิกฤตการณ์ของโลกในปัจจุบัน

อย่างที่กล่าวไปแล้วหลายต่อหลายครั้งว่า...การเห็นแบบแยกส่วน พัฒนาแบบแยกส่วน นำโลกมาสู่การเสียสมดุล การรู้เห็นแบบแยกส่วนก็เหมือน “ตาบอดคลำช้าง” เพราะตาบอดจึงไม่เห็นทั้งหมด คลำรู้ช้างเป็นส่วนๆ ซึ่งไม่ตรงกันเลยทะเลาะกันใหญ่ ถ้าตาไม่บอดก็เห็นทั้งหมด

หรือ...เห็นช้างทั้งตัวก็ไม่มีอะไรจะทะเลาะกัน เพราะทุกส่วนต่างเป็นของช้างตัวเดียวกัน

การเห็นแบบแยกส่วนทำให้คิดแบบแยกส่วน แบ่งข้างแบ่งขั้ว เป็นปฏิปักษ์ขัดแย้งกัน และความรุนแรง การขัดแย้งระหว่างฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาอย่างน่าอเนจอนาถ ก็เกิดจากการเห็นแบบแยกส่วนแบบตาบอดคลำช้าง ถ้าเห็นทั้งหมดเป็น “องค์รวม” หนึ่งเดียวกัน เช่น คนที่สมบูรณ์ต้องมีทั้งแขนซ้ายและแขนขวา

นายแพทย์ประเวศ วะสี
นายแพทย์ประเวศ วะสี

...เครื่องบินจะบินได้ก็ต้องมีทั้งปีกซ้ายและปีกขวา เพราะฉะนั้นการเห็นทั้งหมดเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกันจึงสำคัญมากต่อการออกจากยุควิกฤติในปัจจุบัน การคิดและทำแบบแยกส่วนนำไปสู่การเสียสมดุลอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น ร่างกายมนุษย์ของตัวท่านเองทุกคน เป็นระบบที่วิจิตรที่สุดในจักรวาลที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา

ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์เป็นล้านๆเซลล์และมีความหลากหลายสุดประมาณ แต่ท่ามกลางความหลากหลายสุดประมาณนี้มีบูรณภาพอย่างสมบูรณ์เป็นองค์รวมเดียวกัน คือ “ความเป็นคน”

ความเป็นองค์รวมมีคุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ ความเป็นคนมีคุณสมบัติใหม่ที่ไม่ใช่คุณสมบัติของส่วนย่อยคือ เซลล์ หรือเครื่องบินที่เป็นองค์รวมบินได้ แต่ไม่มีชิ้นส่วนใดที่บินได้เลย ถ้าเราต้องการประเทศไทยยุคใหม่ที่บินได้ จึงต้องพัฒนาอย่างบูรณาการสู่ องค์รวมประเทศไทย ไม่ใช่พัฒนาแบบแยกส่วนดังที่ผ่านมา

โลกมีอายุ 4.5 ล้านปี เริ่มมีสิ่งมีชีวิตเมื่อ 3.5 ล้านปี ชีวิตหลายเซลล์หรือขนาดใหญ่ เช่น พืช สัตว์ เริ่มเมื่อ 700 ล้านปี สัตว์เลื้อยคลาน เช่น ไดโนเสาร์ครองโลกอยู่หลายร้อยล้านปี...มนุษย์อย่างปัจจุบันเพิ่งมีเมื่อ 200,000 ปี...เป็นยุคดึกดำบรรพ์เสีย 190,000 ปี ที่เป็นคนป่าล่าสัตว์

...

“สมองมนุษย์ถูกโปรแกรมมาตั้งแต่ช่วงยุคดึกดำบรรพ์อันยาวนาน นั่นคือสัญชาตญาณการเอาตัวรอดท่ามกลางภัยรอบตัว นั่นคือต่อสู้ แย่งชิง หลบภัย หลอกลวง โดยใช้สมองส่วนหลังที่เรียกว่าสมองสัตว์ เลื้อยคลาน หรือสมองตะกวด...มนุษย์ปัจจุบันถึงแม้จะเจริญด้วยความรู้และเทคโนโลยีต่างๆแต่จิตสำนึกเดิมยังอยู่”

ซึ่งเป็นจิตเล็กเห็นแบบแยกส่วน แต่สังคมมีประชากรมากขึ้นและเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกัน ไม่ใช่สังคมชนิดเป็นคนป่าล่าสัตว์ อยู่แยกเป็นกลุ่มเล็ก...“จิตสำนึกเก่าแต่สังคมใหม่”

สมองมนุษย์ประกอบด้วย 3 ส่วน...ส่วนหลังอยู่ตรงท้ายทอยคือสมองสัตว์เลื้อยคลาน...ส่วนกลางคือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม...ส่วนหน้าคือสมองมนุษย์ จึงไม่เข้ากันนำไปสู่การกระทบกระทั่ง ขัดแย้ง และรุนแรง เป็นวิกฤติอารยธรรมโลกในปัจจุบัน จนนักปราชญ์ข้างต้นกล่าวว่า...ต้องปฏิวัติจิตสำนึก

“คนไทยที่จิกตีกันเหมือนไก่อยู่ในเข่ง”...ถึงจะจิกตีกันเท่าใดๆก็จะออกจากเข่งไม่ได้ ถูกเชือดตายหมดทุกตัว น่าจะหันมาสนใจเรื่อง “จิตสำนึกใหม่” จิตสำนึกใหม่จะพาคนไทยทั้งหมดออกจากเข่ง

...

จิตสำนึกใหม่กับสมองมนุษย์ส่วนหน้า ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประเวศ บอกอีกว่า มนุษย์มีสมองส่วนหน้าที่พอกใหญ่ ส่วนหน้าสุดที่อยู่หลังหน้าผาก มีหน้าที่เกี่ยวกับสติปัญญา วิจารณญาณ ศีลธรรมและการบรรลุธรรม เป็น สมองมนุษย์ที่มีจิตใจสูง รอให้มนุษย์ใช้มา 200,000 ปีแล้ว

“บัดนี้ถึงเวลาที่สมองส่วนหลังหรือสมองตะกวดไม่สามารถพามนุษย์ให้อยู่รอดในสังคมแบบใหม่ที่ไม่ใช่ยุคดึกดำบรรพ์ ต้องเปลี่ยนโปรแกรมสมองมาใช้สมองส่วนหน้าหลังหน้าผาก ...จิตสำนึกใหม่อยู่ตรงสมองส่วนหน้าสุดนี้แหละ จิตสำนึกใหม่เป็นจิตใหญ่ ที่เห็นทั้งหมดและคำนึงถึงการอยู่ร่วมกัน”

มีตัวอย่างที่กระตุกให้เข้าใจ มนุษย์อวกาศชื่อ Edgar Mitchell ยืนอยู่บนดวงจันทร์มองมาเห็นโลกทั้งใบลอยฟ่องอยู่ในอวกาศ เขากล่าวว่า “I came back to Earth, a totally changed man” เขากลายเป็นคนใหม่โดยสิ้นเชิง ใหม่อย่างไร...คือกลายเป็นคนที่มีความสุขอย่างลึกซึ้งในเนื้อในตัว

“เห็นอะไรก็งามไปหมด เกิดไมตรีจิตอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง”

นี่คืออาการของจิตสำนึกใหม่ที่เปลี่ยนจาก “จิตเล็ก” เป็น “จิตใหญ่”...จิตหลุดจากความคับแคบเหมือนติดคุกอยู่ในอัตตา เป็นอิสระเพราะสัมผัสความจริงตามธรรมชาติ ทำให้เกิดความสุขอันลึกล้ำ ความงาม และไมตรีจิตดังกล่าว นั่นเพราะในสิ่งสูงสุด ความจริง ความดี ความงาม อยู่ที่เดียวกัน

การรู้ “ความจริง”...ทำให้เกิดความสุข “ความดี”...คือไมตรีจิตอันไพศาล “ความงาม”...ซึ่งมีอยู่ในทุกสิ่งถูกรับรู้ด้วยจิตที่สงบ จิตสำนึกใหม่ เป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล

“ยุคเก่า” คือ การเสียสมดุล เพราะจิตสำนึกอันคับแคบ... “ยุคใหม่” คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล เพราะจิตสำนึกใหม่ คนไทยควรเขยื้อนยุค อย่ามัวติดอยู่ใน “เข่ง”.

...

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม