ประเด็นปัญหาร้อน “ที่ดิน ส.ป.ก.ทับซ้อนเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา” เริ่มคลี่คลายลงหลังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ลงนาม MOU กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพื่อร่วมกันตรวจสอบแนวเขตพิพาทให้เสร็จภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้

ถ้าพื้นที่ใดทับซ้อนตกลงกันไม่ได้ก็เสนอ “คกก.ปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4000 (One Map)” ผ่านความเห็น คกก. จัดที่ดินแห่งชาติ หรือคณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นมา

โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ สนง.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะส่งผู้มีอำนาจตัดสินใจร่วมเป็นคณะอนุกรรมการเสนอ สนง.คกก.นโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) พิจารณาหาข้อยุติต่อไปเรื่องนี้ ชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้ตรวจราชการ ทส. สะท้อนปัญหาผ่านเวทีจากทับลานถึงเขาใหญ่ผืนป่าที่ถูกเฉือน ว่า

เรื่องนี้อาจต้องดูเจตนารมณ์กฎหมาย ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบ “คนมีมือ 2 ข้าง” แล้วมือด้านซ้ายกลับกำลังถือกฎหมายที่เกี่ยวกับป่าไม้ การอนุรักษ์ หรือระเบียบอุทยานฯ ในการดูแลรักษาผืนป่าสีเขียวไว้ แต่ในปี 2518 ได้มีเจตนารมณ์ต้องการนำที่ดินป่าเสื่อมโทรมมาให้ประชาชนที่ยากจนได้ใช้ประโยชน์ทำกินด้านเกษตรกรรม

...

ต่อมามีการออกขีดเส้นป่าเศรษฐกิจโซน E (Economic) ควบคู่ป่าเกษตรกรรมโซน A (Agriculture) ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา “แต่ไม่อาจยุ่งกับป่าอนุรักษ์โซน C (Conservative) ได้” ด้วยหากจะใช้ป่าโซน C ต้องออกกฤษฎีกาเพิกถอน ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ ส.ป.ก.ออกกฤษฎีกาแล้วจะประกาศบังคับใช้ได้กับป่าทั้งหมด

เช่นนี้ถ้าเจอป่าอุดมสมบูรณ์ก็ไม่อาจเดินรังวัดให้ได้ แล้วในปี 2528-2529 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้เข้าไปฟื้นฟูปลูกป่าแปลงที่พิพาทบ้านเหวปลากั้งเป็นแถวเรียงกำมะหยี่กันไฟ “ป่ามีสภาพฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ” ทำให้ปี 2530 มีการจำแนกที่ดินก็ไม่อาจจัดสรรให้เกษตรกรได้ และผ่านมา 30 ปี กลายเป็นป่าไม่เข้าเกณฑ์การจัดสรรมาแต่ต้น

ขณะที่สมัยนั้น ส.ป.ก.เข้ารังวัดก็ไม่ได้ตรวจสอบพื้นที่ทับซ้อนว่าเป็นแปลงปลูกป่าหรือไม่ เช่นเดียวกับกรมพัฒนาที่ดินทำแผนที่ส่งมอบให้ ส.ป.ก.กลับไม่ตรวจสอบอีก เพราะด้วยแปลงปลูกป่าเป็นเรื่องเฉพาะของหน่วยงาน “มีภาระผูกพันจากการใช้งบประมาณดำเนินการ” ดังนั้นการเพิกถอนแปลงปลูกป่านี้จึงทำได้ยาก

แล้วในปี 2537 “มือซ้าย” มีการส่งมอบพื้นที่ป่าที่เสื่อมโทรมให้ “มือขวา” ดำเนินการปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม 30 กว่าล้านไร่ ลักษณะส่งมอบแบบเร็วๆ ทำให้สวนป่าบางส่วน หรือป่าที่มีภาระผูกพันติดไปด้วย กลายเป็นปัญหาพิพาทต่อกันมาตลอดจนต้องทำบันทึกข้อตกลง MOU ร่วมกัน 2 ครั้งในปี 2538 และปี 2541

อันมีเจตนารมณ์มุ่งรักษาป่า สวนป่า หรือป่ามีภาระผูกพันต้องส่งคืนให้อุทยานฯ แต่ด้วย “คนร่าง MOU” กลับเขียนเฉพาะป่าสงวนลืมลงรายละเอียดป่าถาวรตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ลงในข้อตกลงดังกล่าวนั้น

จริงๆแล้ว “การเดินรังวัด ส.ป.ก.4-01” มีขั้นตอนเยอะมากแต่กลับไม่สมบูรณ์มาแต่ต้น “จนสูญเสียป่า 30 ล้านไร่” เพราะด้วยขั้นตอนตรวจสอบสิทธิ์เป็นหน้าที่ “นิติกร” ลงพื้นที่สอบถามผู้ถือครองการใช้ประโยชน์ในที่ดินเสนอ สนง.ส.ป.ก.ลักษณะทำงานคล้าย “กรมที่ดิน” เพียงแต่พื้นที่ใดติดป่ามักใช้คำว่า “ติดต่อ หรือคาบเกี่ยว”

แล้วตั้งกรรมการร่วมทำงาน “ลดข้อพิพาทที่ดินทับซ้อน” แต่สำหรับ ส.ป.ก.กลับไม่มีขั้นตอนนี้ทำให้เกิดปัญหาโอละพ่อมาตลอด ฉะนั้นถ้ามีระเบียบปฏิบัติพื้นที่ใดติดป่า “ตั้งกรรมการร่วมขึ้นมา” ปัญหาความสับสนแนวเขตทับซ้อนระหว่างป่ากับ ส.ป.ก.ก็จะน้อยลง “อันเป็นหลักวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง” ไม่ต้องพึ่งพา One map ด้วยซ้ำ

เนื่องจาก One map ต้องเพิกถอน 1,221 ป่า และอุทยานฯ 100 กว่าป่า ทำให้เป็นเรื่องทำเสร็จได้ยาก เพราะอาจจะไม่มีใครกล้าเซ็นรองรับด้วย เนื้อหาขั้นตอน One map ละเอียดอ่อนสุ่มเสี่ยงอันตรายมาก

ขณะที่ รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย บอกว่า ก่อนอื่นขออธิบายหนังสือของกรมแผนที่ทหารทำถึง “นายกฯ” เป็นเพียงรายงานผลการตรวจแนวเขตที่ดินทับซ้อนตามคำสั่งของนายกฯเท่านั้นยังมิใช่มติ ครม.แต่อย่างไร ทั้งมิใช่จุดเริ่มต้นแผน One map เพราะการทำเรื่องนี้ต้องใช้เวลายาวนาน

ยิ่งกว่านั้น หากทำสำเร็จแล้ว “ก็ไม่รู้จะบังคับใช้ได้หรือไม่” เพราะถ้าดูตามกฎหมาย “คทช.” มีอำนาจเพียงการเสนอแนะเท่านั้น “การจะเพิกถอนแนวเส้นเขตพื้นที่ป่าใด” ต้องเริ่มจากการใช้กลไกตามแม่บทของหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่นั้น ไม่ว่าจะเป็น คกก.อุทยานแห่งชาติ หรือ คกก.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ

...

เหตุนี้หนังสือของกรมแผนที่ทหารดังกล่าว “จึงยังไม่มีผลบังคับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปบริหารจัดการต่อได้” เมื่อเป็นเช่นนั้นแนวเขตป่าอุทยานแห่งชาติฯ พ.ศ.2505 ก็ยังต้องยึดแนวเขตสภาพเดิม

ประการถัดมา “บทบาทการขับเคลื่อน One map” แน่นนอนว่านายกฯ ในฐานะประธาน คทช. ถ้าหากต้องการทำตามหนังสือของกรมแผนที่ทหารสามารถทำได้ “แต่ต้องนำเข้า คทช.พิจารณาตามระเบียบ” เพื่อให้เป็นเวทีในการแสวงหาข้อสรุปแนวเขตที่ดินทับซ้อนระหว่าง ส.ป.ก.และอุทยานแห่งชาติฯนั้น

แล้ววันนี้ “กษ.” แสดงจุดยืนชัดจะไม่ขอยุ่งพื้นที่ทับซ้อน และพร้อมส่งมอบที่ดินคืนให้ “ทส.” ถ้าเสนอเข้า ครม.พิจารณาออกเป็นมติ เพราะด้วย ส.ป.ก.ก็ไม่ได้ตรวจสอบแนวเขตที่ดินทับซ้อนละเอียด 100% ขณะที่ในปี 2537

“ทส.” ส่งมอบที่ดินแบบเร่งรีบจนเกิดข้อบกพร่อง ดังนั้นคงเป็นโอกาสดีที่จะหาทางอุดช่องว่างกันต่อไป

เช่นนี้แนวทางสำหรับ “การแก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดินระหว่าง 2 หน่วยงาน” คงต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมือง (political will) “ท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ” ประธาน คทช.ออกมาปลดล็อกเรื่องนี้แม้จะมอบให้ท่านภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ เป็นผู้กำกับดูแล สคทช.แต่ว่า “นายกฯ” สามารถเข้ามาทำหน้าที่ด้วยตัวเองได้

...

เพื่อใช้เวที “คทช.แก้ปัญหาข้อพิพาททั้งหลายนั้น” แต่อาจต้องหยิบยกประเด็นฝ่ายกรมอุทยานแห่งชาติฯ และกรมป่าไม้ ที่มีข้อกังวลกับการบังคับใช้กฎหมายไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกรณีที่มีคําพิพากษารองรับไว้ในหลายคดี “คงต้องหาวิธีปฏิบัติ” ทั้งคดีที่กำลังจะเกิดขึ้น คดีอยู่ระหว่างพิจารณา หรือคดีตัดสินไปนั้น

เพราะหากมีการประกาศผนวก “ที่ดินพิพาทเข้ากับ ส.ป.ก.” ผลกระทบจะตกกับเจ้าหน้าที่บังคับคดีที่อาจถูกยกเป็นเหตุต่อสู้ในชั้นศาล ฉะนั้น “นายกฯ” ต้องลงมาคลี่คลายปัญหาแต่หากจะใช้กลไก คทช.ต้องยอมรับว่าไม่มีอำนาจแทรกแซงกฎหมายจำเฉพาะ “คกก.อุทยานแห่งชาติ” อันเป็นกลไกสูงสุดในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติฯ

ทั้งไม่อาจแทรกแซง “คกก.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า” ที่เป็นกลไกตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562

ดังนั้น วันนี้ รมว.กษ.และ รมว.ทส. มีหลักการตรงกันแล้วเพียงแต่การปฏิบัติคงต้องจำเป็นมาหารือกันอย่างใกล้ชิดต่อไป ในส่วน One map มีรายละเอียดอีกเยอะไม่อยากให้คาดหวังอะไรมาก

อย่างไรก็ดี เห็นด้วยกับ “กษ.ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ถือ ส.ป.ก.” เพื่อคัดกรองคนไม่มีสิทธิ์ออกไปแล้วใครออกเอกสารสิทธิมิชอบ “ต้องถูกลงโทษ” สุดท้ายย้ำว่า หนังสือกรมแผนที่ทหารชี้ ส.ป.ก.ปักหมุดอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน “ไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานฯ” อาจจะก่อให้เกิดความยุ่งยากกว่าเดิม ดังนั้นเจ้าหน้าที่ 2 กระทรวงจับเข่าคุยกันดีที่สุด

...

จริงๆแล้ว “ข้อพิพาทที่ดิน ส.ป.ก.ทับซ้อนเขตอุทยานฯเขาใหญ่” หากวิเคราะห์จะเห็นประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวอย่างมีนัยสำคัญ เพราะดูจากข้อสั่งการ “นายกฯ” ออกเป็นหนังสือเวียนลงวันที่ 28 ก.พ.2567 ในการแก้ปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของรัฐทำบันทึกข้อตกลง เพื่อสำรวจหาข้อยุติร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนนี้

หากตีความเจตนาทางการเมือง “เรื่องนี้จงใจให้จบยาก” เพราะหนังสือสั่งการมิได้พูดถึงหน่วยงานเจ้าภาพ หรือบทบาท One map ด้วยซ้ำ เช่นนี้ไม่อาจนำไปสู่การแก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดินทับซ้อนได้อย่างแท้จริง เพื่อต้องการก่อให้เกิดคำถามสังคมที่หาคำตอบข้อสรุปไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

อันจะเป็นเครื่องมือ “ต่อรองทางการเมือง” ในการบริหารจัดการอำนาจกับพรรคร่วมรัฐบาลเป็นหลัก

นี่คือข้อพิพาทที่ดินทับซ้อนพื้นที่ป่าอนุรักษ์คาราคาซังมายาวนาน “ในประเทศไทย” ที่กำลังตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองจนการจัดการปัญหาไม่สามารถจะหาข้อยุติลงได้อีก.

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม