เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง ผมอ่านข่าวจากกระทรวงมหาดไทยที่แถลงโดยท่านเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล แล้วก็รู้สึกใจหายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

นั่นก็คือข่าวหรือข้อมูลว่าด้วยจำนวนพลเมือง หรือจำนวนประชากรไทยที่ลดลงไปทุกๆปี ในช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา

ได้ยินครั้งใดก็จะรู้สึกใจหายครั้งนั้น รวมทั้งครั้งนี้ด้วยจึงต้องใช้ถ้อยคำว่า “อีกครั้งหนึ่ง” มาขยายความในย่อหน้าแรกของคอลัมน์วันนี้

ท่านเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวกับผู้สื่อข่าวตอนหนึ่งว่า จากสถิติของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งรวบรวมจำนวนราษฎรจากหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ สิ้นปี 2566 พบว่า มีจำนวนทั่วประเทศทั้งสิ้น 66,052,615 คน ลดลงจากสิ้นปี 2565 เป็นจำนวน 37,860 คน

ที่ผมรู้สึกใจหายอีกครั้งหนึ่งก็คือ จำนวนราษฎรของปี 2566 ที่ลดลงไปนั่นแหละครับ

สอดคล้องกับที่คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข เดือน 2 เดือนแรก เคยแถลงไว้ว่า เด็กไทยเกิดใหม่ เมื่อปี 2564 เพียง 485,085 คนเท่านั้น แต่ในปีเดียวกันนั้น มีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศถึง 550,042 ราย มากกว่าการเกิดถึง 64,957คน

ถ้าจำนวนคนเสียชีวิตยังมากกว่าคนเกิดเช่นนี้ จำนวนประชากรในอนาคตก็จะลดลงเรื่อยๆ

คุณหมอชลน่าน ท่านเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก ย้ำกับผู้สื่อข่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขจะผลักดันให้เรื่องเด็กเกิดใหม่น้อยลงเป็นวาระแห่งชาติ ในการจะหามาตรการจูงใจให้ครอบครัวไทยและคนรุ่นใหม่มีบุตรเพิ่มมากขึ้น

ไม่ทราบว่าวาระแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้วครับ?

ผมขอให้กำลังใจและขอเอาใจช่วยคุณหมอเต็มที่ และยิ่งมาอ่านข่าวที่คุณไตรศุลีแถลงว่าปี 2566 จำนวนราษฎรไทยก็ลดลงไปจากปี 2565 ถึง 37,860 คน ก็ยิ่งอยากจะเห็นวาระแห่งชาติในเรื่องนี้คลอดออกมาและมีแผนในการ “ปฏิบัติ” โดยเร็วที่สุด

...

ก็พอดีนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานนี้ เป็น วันวาเลนไทน์ หรือวัน แห่งความรัก ทั้งเขตใน กทม.และอำเภอต่างๆ เปิดรับจดทะเบียนสมรสกันเกือบทั่วประเทศ มีทั้งจดในศูนย์การค้า ในโรงแรม ในห้องประชุมของอำเภอ รวมไปถึงบนฟ้า (บอลลูน) ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย บนหลังช้าง (ที่สุรินทร์) และใต้ทะเลที่จังหวัดตรัง

ผมก็ขอฝากไปยัง “คู่รัก” ที่ไปจดทะเบียน “สมรส” ในวันวาเลนไทน์ทั้งหลาย ขออย่ามุ่งหน้าแต่จะจดทะเบียนสมรสเพียงอย่างเดียวเลย ขอให้รีบดำเนินการในทุกวิถีทางให้มี “บุตร” มี “ธิดา” โดยเร็วด้วยเถิด

เพื่อช่วยกันเพิ่มประชากรของประเทศเราให้มากขึ้นในอนาคต

ยิ่งผู้เชี่ยวชาญทางประชากรศาสตร์หลายๆท่านออกมาพยากรณ์ว่าใน 60 ปีข้างหน้า หรือ พ.ศ.2626 ประเทศไทยเราจะเหลือประชากรแค่ 33 ล้านคนเท่านั้น จาก 66 ล้านคนในปีนี้ ก็ยิ่งใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก

นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆว่าประเทศไทยของเราจะมี “ความสามารถในการแข่งขัน” เหลืออยู่อีกเพียงใด เพราะเผลอๆทั้ง 33 ล้านคนที่ว่า ก็จะเป็นผู้อาวุโสที่ผ่านวัยแรงงานไปแล้วเป็นส่วนมากเสียด้วยซํ้า

ความจริงผมก็อยากจะขอร้องโดยรวมไปถึงครอบครัว หนุ่มสาว และวัยกลางคนทั่วประเทศด้วยแหละครับ ไม่เฉพาะผู้ที่จดทะเบียนสมรส ในวันแห่งความรักปีนี้เท่านั้นดอก

ท่านที่อยู่กินกันโดยชอบทุกๆท่าน เฉพาะที่อยู่ในวัยมีบุตรมีธิดาได้ (เพราะถ้าอายุมากเกินไปหมอเขาก็ว่ามีปัญหา) จงรีบมีบุตรมีธิดากัน โดยเร็วเถอะครับ

ผมเองก็มีส่วนผิดเยอะครับที่ไปเขียนสนองนโยบายกระทรวงสาธารณสุข เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ที่บอกว่า “มีลูกมากจะยากจน” ฉะนั้นอย่ามีลูกกันเลย...หลายครั้งมาก ผ่านคอลัมน์นี้

ก็อยากจะไถ่โทษความผิด สนองนโยบายอยากให้คนไทยมีบุตรตามวาระแห่งชาติของกระทรวงสาธารณสุขยุคปัจจุบันเสียตั้งแต่ “วันแห่งความรัก” ของปีนี้เป็นต้นไป

จะสำเร็จผลแค่ไหนยังไม่รู้...แต่ถ้าไม่เริ่มทำ รับรองไม่สำเร็จแน่นอน...ผมเอาใจช่วยเต็มที่นะครับ คุณหมอชลน่านครับ.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม