อย่างนี้สิ! ถึงจะเรียกว่านักการตลาดท่องเที่ยวมืออาชีพ ที่พอสิ้นปีหยกๆ สมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการ ททท.ด้านตลาดในประเทศลูกหม้อฟันธงจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตลอดปี 2566 ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง...รวบรวมโดยกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ 28,042,131 คน
เพิ่มขึ้น 151% จากปีก่อนหน้า...ประมาณค่าใช้จ่ายจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวในอดีตพบว่า รายได้สะสมน่าเชื่อถือคือ 1,201,518 ล้านบาท
โดยเน็ตเวิร์กกิ้งตลาดนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก สมฤดี แจงจากแหล่งข้อมูลเดียวกันยกธงชูป้ายให้เพื่อนบ้านมาเลเซียนำลิ่ว 4,563,020 คน แซงตลาดจีนที่ร่วงไปอยู่อันดับสอง 3,519,735 คน
เกาหลีใต้อันดับสาม 1,658,688 คน อินเดียอันดับสี่ 1,626,720 คน รัสเซียรั้งท้าย 1,481,878 คน...ส่วนแบ่งตลาดสูงสุด ได้แก่ กลุ่มเอเชียตะวันออก 59% ยุโรป 24.6% และอื่นๆ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา กับตะวันออกกลางรวมกัน 16.4%
นี่คือ “ดาต้าเบส” ที่นักวางแผนด้านตลาดท่องเที่ยว จะนำไปวิเคราะห์และประเมินหาแนวโน้มตลาดในอนาคต เพื่อกำหนดกลยุทธ์และยุทธศาสตร์สู่กลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน
...
“เป็นการเตรียมดีเดย์ยกเลิกวีซ่าเข้าออกประเทศไทยกับจีนแบบถาวร เพื่อยกระดับความสัมพันธ์กับส่งเสริมท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศตั้งแต่ 1 มีนาคมที่จะถึง...หลังไทยเปิดฟรีวีซ่าให้จีนเมื่อปลายปีที่ผ่านมาและจะสิ้นกุมภาพันธ์นี้”
หากจะทบทวนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เดิมเรียก “อุษาคเนย์” ปัจจุบันคือ “อาเซียน” และปี 2503 ไทยเพิ่งเริ่มตั้งไข่เรื่องท่องเที่ยวมีต่างชาติมาเยือน 81,340 คน ต่อมาเพิ่มหลักแสนและล้าน 1,037,737 คน เมื่อปีมหาวิปโยค 2516 ยุคมวลชนขับไล่ “ทรราชครองเมือง”
ต่อจากนั้น “การเมืองไทย” ก็ใช่ว่าจะดีเด่เท่าไร มีแต่ท่องเที่ยวเท่านั้นที่รับลูกถูกพัฒนามากขึ้น
เรามีสนามบินดอนเมืองที่สร้างปี 2457 หลังสนามบินสระปทุมแห่งแรกกรุงสยามเป็น “ฮับ” การบินเชื่อมเอเชีย ยุโรป อเมริกา เหนือใครๆในอุษาคเนย์สมัยนั้น ยกเว้นอินโดนีเซียมีบาหลีซึ่งธรรมชาติทะเลและศิลปวัฒนธรรมโบราณโดดเด่นไม่แพ้ไทย
ตอนนั้นท่องเที่ยวและแอร์ไลน์ไทยพูดได้ว่าเริ่ดสุดขีด แต่ตอนนี้น่าเสียดายที่กลับล้าหลังเพื่อนบ้าน แม้ระบบการศึกษาซึ่งจากการสำรวจล่าสุดพบว่า...ไทยบ๊วยสุดในอาเซียน!
ในวงเสวนาปัญหาบ้านเมืองสรุปมูลเหตุมาจากมะเร็งร้าย “คอร์รัปชัน” ที่ระบาดไปทั่ว...ความมั่นคงปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์เกิดจากสาเหตุปืนหาได้ง่ายพอๆกับยาเสพติด ที่เด็กก็มีได้ผู้ใหญ่ก็มีเกร่อ
ส่วนเจ้าหน้าที่ก็หย่อนยานปล่อยให้องค์กรการกุศลชวนทนาย มาหาแสง ลงแส้ผ่านสื่อคดีต่างๆถึงจะคืบหน้า...บ้านเมืองเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้?
“มันสวนทางกับการชูท่องเที่ยวเป็นม้าด่วนกู้เศรษฐกิจ” นักเศรษฐศาสตร์ว่า “ดูทัวร์จีนปีที่แล้วหันไปเช็กอินเวียดนามแทนมาเที่ยวเสี่ยงตายในไทย ถึงเข้าป้ายแค่ 3.5 ล้านคนเกินเอื้อม 4.4 ล้านคนอย่างที่หวังก่อนสิ้นปี 2566”
นักเศรษฐศาสตร์รายเดียวกันย้ำว่า เวียดนามเปิดเกมรุกด้วย อี-วีซ่าให้ทุกชาติทั่วโลก ขยายจาก 30 เป็น 90 วัน เข้าออกกี่ครั้งก็ได้ ทัวร์จีน อินเดีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ และไทยจึงไปกระจุกตัวที่นั่น
...
ขณะชาติตะวันตกเห่อฮาเกียงเมืองในหุบเขาชายแดนฝั่งโฮจิมินห์ติดจีนตอนใต้
ดีแต่ว่า...หลังเปิดฟรีวีซ่าอินเดียโตขึ้น 1.62 ล้านคน เพิ่มกว่า 73% จากเป้าที่ตั้งไว้ทีแรก 1.4 ล้านคน ส่วนดอกเหมยไต้หวันเคยมาเที่ยวบ้านเราเฉลี่ยวันละ 1,900 คน
ใครจะไปเชื่อหลังเปิด “ฟรีวีซ่า” เพิ่มเฉลี่ยวันละ 2,400 คน รวม 11 เดือนแรกปีที่แล้ว 643,237 คน เพิ่มขึ้น 82.28% จบที่ตลอดปีได้ตามเป้า 725,000 คน เพิ่มเป็น 86%
ทดแทน “ตลาดจีน” ที่หายไปบานเบอะ
น่าสนใจอีกว่าทั้งๆที่ตลาดนี้สะดุดขาตัวเอง เมื่อคนแซ่เฉินไต้หวัน เกิดอุบัติเหตุรถชนขณะเที่ยวไทยถูกส่งโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ปลายจมูก 500 เมตร กลับถูกปฏิเสธเพราะกลัวหาเจ้าภาพจ่ายไม่ได้
น่าสลดตรงที่ตายระหว่างทางเสียก่อนจะได้สถานพยาบาลใหม่ กรณีนี้กระทรวงสาธารณสุขออกมาเต้นแร้งเต้นกาพักเดียวก็หายไป...
ผิดคำสัญญาที่ผู้นำเคยลั่นวาจาทิ้งไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อ 25 กันยายน... “จะคุ้มครองความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวทุกคน ที่มาเที่ยวเมืองไทยกระทั่งวันแรกถึงวันกลับ...แล้วเป็นอย่างไรเล่าพ่อแม่พี่น้องเอ๋ย?”
...
ประเด็นนี้ ททท. สำนักงานไทเป แจ้งสื่อไต้หวันเสนอเป็นข่าวเล็กๆที่สแกนจากสื่อไทย เดชะบุญไม่เสนอเป็นซีรีส์เยี่ยงสื่อจีน... บังเอิญช่วงนั้นเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่แทนนางชิง อิงเหวินพอดี คนที่นั่นเลยไม่อินกับข่าวคนแซ่เฉินสักเท่าไร
ประกอบกับหนุ่มสาวไต้หวันรักเมืองไทยมักบินไปเช็กอินบ้านเราเย็นศุกร์กลับเช้าจันทร์ เพื่อพักผ่อนช็อปปิ้งกินอาหารไทย จึงไม่กระทบ ขณะ ททท.ไทเป กำลังเจรจากับสายการบินให้เพิ่มเที่ยวบินตรงสู่ไทยรองรับอนาคตอีกด้วย
สมฤดี เสริมว่า พฤติกรรมคนตลาดนี้ อ้างจากรายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวงานเอเชีย 3 กองเอเชียตะวันออกระบุว่า...คนไต้หวันใช้วันพักเฉลี่ยในเมืองไทย 5.99 วัน จ่ายเงินวันละ 6,394.99 บาทต่อคน
เฉลี่ยต่อทริปคนละ 38,306.36 บาท คิดเป็นรายได้โดยรวมราว 27,794 ล้านบาท
ช่วงเวลาที่เหมาะทัวริ่งได้แก่ตรุษจีน ปิดภาคเรียนและคริสต์มาสกับปีใหม่ “ปัจจัยหนุนคือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 0.8% กำลังจะเพิ่มเป็น 3–4 % จากการปรับค่าจ้างรายเดือนเป็น 27,470 เหรียญไต้หวัน รายชั่วโมง 183 เหรียญ แก่คน 2.39 ล้านคน”
...
กัลยกร เด็ดขาด เอ็มดี.โคโคนัท ทราเวลฯ พัทยา คนคุ้นตลาดไต้หวัน 16 ปี มองว่า แหล่งเที่ยวสุดฮิตคือกรุงเทพฯ...ก่อนกระจาย สู่พัทยา หัวหิน ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ 75% เป็นเอฟไอที...กลุ่มนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางอย่างอิสระด้วยตัวเอง ซึ่งที่เหลือมากับทัวร์เอเย่นต์ และมาทัวร์ไทยซ้ำถึง 60%
นักท่องเที่ยวเหล่านี้...ชอบพักบูทีคโฮเต็ล กินอาหารไทยสุดปังมิชลิน ช็อปสินค้าชุมชนดีไซน์เก๋ไก๋ รักสไตล์วิถีถิ่นสุดชิลกับฟินสุดๆ การนวดและสปาแผนไทย
กัลยกร ทิ้งท้ายว่า เขาถูกอดีตผู้นำเจียง จิงกั๋ว ทายาทเจียง ไคเช็ก ปลูกฝังให้อดทนด้วยเพลง “เหมยฮวา” เมื่อปี 1978 ถึง 1984 ก่อนสังคมเกษตรสู่อุตสาหกรรมใหม่จนชีวิตดีขึ้น จึงมีวินัยคล้ายคนญี่ปุ่น
และ...ปฏิเสธความเป็นจีน ผู้ประกอบการทัวร์ไทยที่รู้ปัญหานี้ดีจะไม่ยอมจัดมื้ออาหารให้คณะไต้หวันกินรวมกับทัวร์จีนเด็ดขาด... นี่คือข้อแตกต่างระหว่างนักท่องเที่ยว “ไต้หวัน” กับ “ทัวร์จีน”... ที่ไทยยังหลงรักหัวปักหัวปำจนวันนี้.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม