หัวหน้าทีมสอบสวนคดีหมูเถื่อนดีเอสไอนัดประชุมทีมงานก่อนเผยรับคดีพิเศษนำเข้าซากเนื้อสัตว์เถื่อนเพิ่มอีก 2 คดี คดีแรกเป็นการขยายผลคดีนำเข้าหมูเถื่อน 161 ตู้ หลังพบชิปปิ้ง 10 บริษัทสำแดงเท็จนำตู้คอนเทนเนอร์ออกไปก่อนหน้า 2,388 ตู้ อีกคดีจ่อเล่นงานองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่กลุ่มใหม่เกี่ยวข้องกับตู้คอนเทนเนอร์เนื้อสัตว์เถื่อนกว่า 1 หมื่นตู้ และไม่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อน แฉมีหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 หน่วย อยู่ระหว่างประสาน ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงถึงระดับอธิบดีหรือรัฐมนตรีหรือไม่
ดีเอสไอรับอีก 2 คดีพิเศษนำเข้าซากเนื้อสัตว์เถื่อนเปิดเผย เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 3 ม.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีหมูเถื่อนเปิดเผยหลังประชุมทีมสอบสวนวางกรอบแนวทางการสอบสวน กรณีขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบตามกฎหมาย หรือคดีหมูเถื่อนว่า วันนี้ได้ประชุมรับเป็นคดีพิเศษใหม่เพิ่มเติมอีก 2 คดี ประกอบด้วยคดีพิเศษที่ 126/2566 กรณีขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และได้นำออกไปจำหน่ายตามท้องตลาดแล้ว และคดีพิเศษที่ 127/2566 กรณีขบวนการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
พ.ต.ต.ณฐพลกล่าวว่า คดีพิเศษที่ 126/2566 พบว่าในกลุ่มบริษัทชิปปิ้งเอกชน 10 แห่งที่ดำเนินคดีไปนั้นได้นำตู้คอนเทนเนอร์ออกไปก่อนหน้านี้ 2,388 ตู้ เป็นการสำแดงเท็จเป็นสินค้าประเภทเนื้อปลาแช่แข็ง พลาสติกโพลิเมอร์ และไข่ต้มสุก ดีเอสไอจะพิสูจน์ว่าตู้คอนเทนเนอร์เหล่านี้ที่ถูกนำออกไปแล้วแท้จริงเป็นตู้สินค้าประเภทใด และได้สำแดงก่อนออกจากท่าเรือเป็นสินค้าประเภทใด คดีพิเศษที่ 126/2566 เป็นการขยายผลมาจากคดีพิเศษที่ 59/2566 หรือคดีหมูเถื่อน 161 ตู้ ส่วนอีกคดีพิเศษที่ดีเอสไอรับเพิ่มวันนี้คือ คดีพิเศษที่ 127/2566 หลักๆจะดำเนินคดีกับองค์กรอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและอาชีพของเกษตรกร เป็นกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่กลุ่มใหม่เกี่ยวข้องกับตู้คอนเทนเนอร์บรรจุเนื้อสัตว์เถื่อนต่างๆกว่า 10,000 ตู้ เป็นกลุ่มที่ดีเอสไอไม่เคยดำเนินคดีมาก่อน ได้แก่ กลุ่มนายทุนชาวไทยชาวจีน บริษัทชิปปิ้งเอกชน เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง พบว่ามีการลักลอบนำเข้าตั้งแต่ปี 2563-ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนสุกรแช่แข็ง เนื้อวัวแช่แข็ง ชิ้นส่วนไก่ จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป
...
พ.ต.ต.ณฐพลเผยอีกว่า ในกลุ่มคดีพิเศษที่ 126/2566 พบกลุ่มที่เกี่ยวข้องเบื้องต้น 9 บริษัท เป็นกลุ่มเดิมที่ดีเอสไอเคยดำเนินการทางคดีไปก่อนหน้านี้ และได้นำตู้คอนเทนเนอร์ออกไปจัดจำหน่ายเรียบร้อย ประกอบด้วย 1.บริษัท อาร์.ที.เอ็นโอเวอร์ซี จำกัด 2.บริษัท เดอะ คิวบ์ โลจิสติกส์ 3.บริษัท ซี เวิร์ล โฟรเซ่น ฟูด 4.บริษัท มายเฮ้าส์ เทรดดิ้ง จำกัด 5.บริษัท เรนโบว์ กรุ๊ป จำกัด 6.บริษัท ศิขัณทิน เทรดดิ้ง จำกัด 7.บริษัท สมายล์ ท็อป เค เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด 8.ห้างหุ้นส่วนจำกัด สหัสวรรษ ฟูดส์ และ 9.ห้างหุ้นส่วนจำกัด กันตา ไทยโฟรเซ่นฟิช มีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวมถึงอาจมีเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาเกี่ยวข้องในขั้นตอนการนำเข้าและส่งออก รวมแล้วอาจมากกว่า 10 ราย เพราะในคดีก่อนหน้านี้ก็มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกว่า 13 ราย ส่วนในกลุ่มคดีพิเศษที่ 127/2566 คาดว่าจะมีผู้เกี่ยวข้องจากหลายแวดวงจำนวนมาก
หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีหมูเถื่อนกล่าวต่อว่า ได้แบ่งหน้าที่กันในทีมไปตรวจสอบว่ามีใครเกี่ยวข้อง รวมถึงได้ประสานไปยัง ปปง.ขอตรวจสอบเส้นทางการเงิน เพราะพบว่ากลุ่มนี้ได้โอนเงินออกไปยังบริษัทจำหน่ายชิ้นส่วนเนื้อสัตว์แช่แข็งในต่างประเทศ อีกทั้งมั่นใจว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องหลายราย เพราะจำนวนตู้คอนเทเนอร์นั้นมากกว่า 10,000 ตู้ ทั้งเนื้อหมู เนื้อวัว และชิ้นส่วนไก่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่ดีเอสไอดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้อาจมาเกี่ยวข้องด้วย แต่จะต้องดูด้วยว่ากลุ่มที่กระทำผิดได้ใช้เจ้าหน้าที่รัฐรายใดบ้าง เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอได้ประจักษ์พยานสำคัญในคดีเข้าให้ข้อมูลพอสมควรจึงพบว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐรายใดบ้าง
พ.ต.ต.ณฐพลกล่าวถึงมูลค่าความเสียหายว่า ในคดีพิเศษที่ 127/2566 เบื้องต้นพบมูลค่าความเสียหาย 6,000-7,000 ล้านบาท หากคำนวณจากจำนวนตู้คอนเทเนอร์กว่า 10,000 ตู้ ความเสียหาย 1 ตู้ ก็ตกประมาณ 1,000,000 บาท ส่วนจำนวนตู้คอนเทนเนอร์จะเป็นสินค้าประเภทใดบ้างอยู่ระหว่างตรวจสอบ แต่แน่ชัดว่ามีการสำแดงเท็จ หลังจากนี้ตลอดสัปดาห์จะเชิญพยานเข้าให้ถ้อยคำ 4 ราย เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 2 ราย และบริษัทชิปปิ้งเอกชน 2 ราย และจะให้ ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย อีก 2 สำนวนคดีที่เตรียมส่ง ป.ป.ช. ได้เสนอให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีฯ ตรวจสอบแล้วคาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะนำส่งได้
พ.ต.ต.ณฐพลกล่าวต่อว่า วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นคดีใหม่อีก 2 คดี เน้นตรวจสอบการนำเข้า วิธีการนำเข้า โควตาที่แต่ละบริษัทได้รับ และบริษัทชิปปิ้งเอกชนที่เกี่ยวข้องจะทยอยสอบปากคำ ส่วนการทำลายพยานหลักฐานยังไม่พบ เพราะทุกอย่างจะปรากฏด้วยพยานหลักฐาน เช่น ใบบีแอล หรือ Bill of Lading (B/L) หรือที่เรียกกันว่าใบตราส่งสินค้า และหลักฐานการเคลื่อนย้ายต่างๆ และเนื่องด้วยเป็นตู้ที่ออกไปแล้วจะใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี คือ GPS TRACKING เพื่อตรวจสอบว่ารถขนสินค้าได้ออกจากท่าเรือต่างๆไปหยุดที่จุดไหนแต่ละจุดนานเท่าใด ถ้าพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใครจะไม่ละเว้นพร้อมดำเนินคดีทั้งหมด ในกลุ่ม 10,000 กว่าตู้นี้ พบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 หน่วย คือ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และกรมประมง ต้องไปตรวจสอบว่ามีใครบ้างระดับใด ส่วนนักการเมืองจะต้องตรวจสอบ เช่นเดียวกัน ว่าจะเชื่อมโยงถึงระดับอธิบดีกรม หรือรัฐมนตรีหรือไม่ ทุกอย่างต้องดูพยานหลักฐานประกอบ คำให้การของพยานและผู้ต้องหาทั้งหมดก่อน
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่