สวัสดีปีใหม่ 2567 นะครับ ท่านผู้อ่านไทยรัฐที่เคารพ...ขอความสุข ความเจริญความโชคดีมีชัย จงเป็นของท่านผู้อ่านทุกคน...ความเจ็บอย่าใกล้ ความไข้อย่ามี สุขีสุขีตลอดปีใหม่นี้นะครับ
เนื่องจากข้อเขียนวันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ เป็นธรรมเนียมที่ผมปฏิบัติมาตั้งแต่วันแรกๆที่มีโอกาสเขียนคอลัมน์นี้...ถือขออนุญาตเขียนอย่างเป็นกันเองอย่างเปิดอกเปิดใจ คุยนั่นคุยนี่แบบไม่ซีเรียสไปพลางๆก็แล้วกัน
หลายครั้งที่ผมได้รับเชิญไปพูดคุยกับน้องๆนิสิตนักศึกษาที่ร่ำเรียนวิชาสื่อสารมวลชน...จะมีคำถามว่าทำไมถึงตั้งชื่อคอลัมน์ว่า “เหะหะพาที” มีที่มาที่ไปอย่างไร?
ผมก็จะตอบไปว่า คำว่า “เหะหะ” แปลว่าเสียงหัวเราะของคนเมาสุราตามคำบัญญัติของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เพราะฉะนั้น เมื่อเอามาสมาสกับคำว่า “พาที” ซึ่งแปลว่าการพูดจา...จึงมีความหมายว่า “พูดจาแบบคนเมาสุรา”
อันเป็นความตั้งใจดั้งเดิมของกองบรรณาธิการไทยรัฐในยุคโน้นที่อยากจะมีคอลัมน์เบาๆพูดจาหรือเขียนแบบยียวนแบบกวนๆ ไม่เป็นโล้เป็นพายแต่อ่านสนุกสักคอลัมน์หนึ่งมาช่วยแบ่งเบาคอลัมน์หนักๆที่เข้มแข็ง และทรงพลังทางการเมืองที่มีอยู่แล้วหลายๆคอลัมน์
ดังนั้นเมื่อนำลงพิมพ์หรือเปิดตัวหรือจะเรียกให้โก้หน่อยคือ Debut (เดบิวต์) ครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2516 เป็นต้นมานั้น จึงออกมาในสไตล์ตลกๆ ล้อเหตุการณ์บ้านเมืองเอาสนุกไปวันๆอย่างที่ว่า
ผ่านไป 3 เดือน ผมชักจะหมดมุกและล้ออะไรไม่ออก ก็เลยลองเปลี่ยนสไตล์หันมาเขียนถึงเรื่องที่มีสาระดูบ้าง
ช่วงนั้นประมาณต้นๆเดือนเมษายน 2516 เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ นักเรียนที่สอบชั้นมัธยมต้นมัธยมปลายแล้วต่างเตรียมตัวหาที่เรียนต่อ...บ้างก็จะไปสายอาชีวะ บ้างก็จะไปสายสามัญ
...
ทำให้นึกถึงสมัยตัวเองตอนเรียนจบมัธยม 6 จากต่างจังหวัดลงมาเรียนต่อกรุงเทพฯ แต่มืดแปดด้านไม่รู้จะเรียนอะไรดี?
เพราะไม่มีครูแนะแนวและไม่มีใครมาบอกว่าควรเรียนอะไร?
ผมก็เลยลองเขียนแนะแนวว่าถึงฤดูเรียนต่อแล้ว น้องๆจะเรียนอะไรกันดีหนอ? ไปขอข้อมูล ไปขอสัมภาษณ์สถาบันต่างๆ มาเขียนผ่านคอลัมน์นี้เป็น มินิซีรีส์ อยู่ 10 กว่าวัน
แจ็กพอตเลยครับ กลายเป็นเรื่องฮิตที่เอเย่นต์หนังสือพิมพ์ส่งข่าวมาบอกทาง ผอ.กำพล วัชรพล ซึ่งช่วงนั้นดูแลฝ่ายจำหน่ายไทยรัฐด้วยตัวท่านเองว่า เด็กๆต่างจังหวัดชอบมาก ขอให้เขียนต่ออย่ารีบจบ
ทำให้ต้องยืดออกไปเขียนได้เกือบ 20 วัน นอกจากเรียนต่อทุกระดับในประเทศไทยแล้ว ยังถือโอกาสแนะวิธีไปเรียนต่อเมืองนอกด้วย
จากจุดนี้เองทำให้ผมตัดสินใจหันมาเขียนเรื่องที่เป็นสาระและเป็นความรู้มากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องจำกัดวงอยู่แค่เรื่องล้อเลียนหรือเรื่องตลกๆตามแนวทางเดิมเท่านั้น
เป็นที่มาของการเขียนแนะนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อย่างง่ายๆผ่านคอลัมน์นี้ เพื่อให้ผู้อ่านไทยรัฐเข้าใจเวลาอ่านหรือฟังรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจของสภาพัฒน์ หรือแบงก์ชาติได้มากขึ้น
จำได้ว่าคอลัมน์นี้เป็นคอลัมน์รายวันของหนังสือพิมพ์หัวสีคอลัมน์แรกที่เขียนถึง GDP และวันแรกที่ปล่อยออกมาโดนแฟนคลับวิพากษ์วิจารณ์ชนิดหน้าแตกไปเลยทีเดียว
หาว่าเขียนอะไรก็ไม่รู้...อ่านแล้วหลายรอบยังไม่รู้เลยว่า GDP คืออะไร? เป็นเหตุให้ต้องกลับมาเขียนใหม่ อธิบายยาวขึ้น
มาถึงวันนี้คำว่า GDP ไม่ใช่คำแปลกประหลาดของคนไทยอีกแล้ว...กลับกลายเป็นคำสามัญประจำบ้านที่รู้จักกันทั่วประเทศว่าหมายถึงอะไร และเพ่ิมขึ้นมากน้อยแค่ไหนในแต่ละไตรมาส
ครับ! ก็ถือโอกาสคุยถึงความหลัง คุยถึงที่มาที่ไปของคอลัมน์นี้ที่เริ่มจากเจตนารมณ์ที่จะเป็นคอลัมน์ตลกๆ แต่บานปลายมาเป็นอะไรก็ไม่รู้อย่างที่ท่านกำลังอ่านอยู่ทุกวันนี้
เผลอแผล็บเดียว 51 ปี ย่างเข้าปีที่ 52 แล้วนะครับ...ไวเหมือนโกหก ตามที่สำนวนนักเขียนรุ่นเก่าๆ ท่านเปรียบเทียบเอาไว้จริงๆ
ขอขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ยังติดตามอ่านมาจนถึงวันนี้
สวัสดีปีใหม่ครั้งที่ 52 นะครับท่านผู้อ่านที่เคารพ.
“ซูม”
คลิกอ่านคอลัมน์ "เหะหะพาที" เพิ่มเติม