รถไฟฟ้าสายสีชมพูระทึกขวัญ รางจ่ายกระแสไฟฟ้าพังถล่มย่านปากเกร็ด หลุดร่วงเป็นแนวยาวร่วม 3 กม.ทับรถยนต์พังเสียหาย 3 คัน เดชะบุญไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต “สุริยะ” สั่งหยุดเดินรถเร่งตรวจหาสาเหตุ เผยขบวนรถตรวจรางพบวัสดุแปลกปลอมไปขัดล้อจนลากรางจ่ายไฟฟ้าหลุดทั้งยวง ปิดชั่วคราว 7 สถานีตรวจสอบให้เสร็จภายใน 7 วัน ฮึ่มฟันโทษหนักหากเกิดเหตุซ้ำอีก รมช.คมนาคม สงสัยผู้รับเหมาชุ่ยดึงชีตไพล์ไปกระแทกรางนำไฟฟ้าจนเคลื่อนออกจากตำแหน่งแล้วไม่แจ้งให้ทราบ ส่วนรถไฟฟ้าสายสีม่วงเกิดอุบัติเหตุสยอง เหล็กเส้นหลุดจากเครนหล่นฟาดหัวโฟร์แมนหนุ่มดับสลดขณะคุมงานก่อสร้างสถานีวงเวียนใหญ่ สาเหตุจากขณะเคลื่อนย้ายไม่มัดให้แน่นหนา สั่งหยุดก่อสร้าง 7 วัน ทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัย จ่ายเงินเยียวยาเหยื่อชะตาขาด 1.6 ล้านบาท
ระทึกขวัญรถไฟฟ้าสายสีชมพู
เหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 24 ธ.ค. ร.ต.อ.กิตตินันท์ อักษรสม รอง สว. (สอบสวน) สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี รับแจ้งเหตุมีชิ้นส่วนอุปกรณ์ของระบบรางขนส่งรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ตกลงมาทับรถยนต์ที่จอดอยู่ใต้แนวเส้นทางของรถไฟฟ้าได้รับความเสียหาย บริเวณหน้าตลาดชลประทาน ถนนติวานนท์ ฝั่งขาเข้า ต.บางตลาด รายงานให้ พ.ต.อ.สมพล วงศ์ศรีสุนทร รอง ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พ.ต.อ.อภิศักดิ์ โชติกเสถียร ผกก.สภ.ปากเกร็ด พ.ต.ต.ฐาปนพงษ์ พึ่งมี สว.จร.สภ.ปากเกร็ด นำกำลังไปตรวจสอบ
...
รางจ่ายไฟฟ้าถล่มทับรถ 3 คัน
ที่เกิดเหตุพบรางจ่ายกระแสไฟฟ้า (Conductor rail) เป็นท่อนอะลูมิเนียมขนาดกว้าง 4 นิ้ว หนา 2 นิ้ว สำหรับใช้จ่ายกระแสไฟฟ้าของระบบรถไฟฟ้าที่ยึดกับหมุดติดอยู่ด้านข้างผนังคานคอนกรีตของแนวเส้นทางการเดินรถสูงจากพื้นถนนกว่า 10 เมตรพังถล่มลงมาเป็นแนวยาว บางส่วนพังลงมาอยู่ด้านล่าง บางส่วนพาดอยู่บนขอบตอม่อ จุดเริ่มต้นจากบริเวณหน้าตลาดชลประทานต่อเนื่องไปจนถึงบริเวณแยกแคราย ระยะทางประมาณ 3 กม. จุดที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือบริเวณหน้าตลาดชลประทาน ท่อนรางพังถล่มลงมาทับรถยนต์ของพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านที่มาจับจ่ายซื้อของที่จอดอยู่ใต้แนวรถไฟฟ้าได้รับความเสียหาย 3 คัน ประกอบด้วย รถกระบะมิตซูบิชิไทรทัน สีดำ ทะเบียน บน 1984 อุทัยธานี รถกระบะอีซูซุ สีทอง ทะเบียน บว4035 กาญจนบุรี และรถยนต์ฮอนด้าบีอาร์วี สีบรอนซ์ ทะเบียน 7 กฒ 712 กรุงเทพมหานคร ถูกเหล็กท่อนรางทับพาดกลางหลังคายุบถึงห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังไปเกี่ยวสายไฟฟ้าทำให้มีเสาไฟหักโค่นอีก 1 ต้น เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ต้องวางแท่งแบริเออร์กั้นห้ามรถยนต์ผ่าน เนื่องจากเป็นพื้นที่อันตรายพร้อมประสานไปยังเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงและเจ้าที่ของบริษัทผู้รับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้า
เจ้าของรถแฉนาทีวิ่งหนีตาย
สอบปากคำนายวัลลภ ศรีกล่อม อายุ 21 ปี เจ้าของรถกระบะมิตซูบิชิ ทะเบียน บน 1984 อุทัยธานี เล่าถึงเหตุการณ์ระทึกว่า ก่อนเกิดเหตุขับรถมาจอดใต้รางรถไฟฟ้า เห็นนอตหล่นลงมาก่อน พอเงยหน้าขึ้นไปดูก็ต้องตกใจเมื่อท่อนรางหลุดลงมาเป็นทางยาว เกรงจะได้รับอันตราย ด้วยความตกใจรีบวิ่งเข้าไปในตลาดชลประทาน หลังเหตุการณ์สงบออกมาดูพบว่าท่อนรางทับรถจนได้รับความเสียหาย
ระดมทีมงานแก้ไขสถานการณ์
ในช่วงเช้า พล.ต.ต.ธวัชชัย นาคฤทธิ์ รอง ผบช.ภ.1 เจ้าหน้าที่ของรถไฟฟ้า BTS เจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงนนทบุรี ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ เบื้องต้นทีมแก้ไขสถานการณ์จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์บริเวณทางเท้าหน้าตลาดชลประทาน ระดมรถเครน ทีมวิศวกร และเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงเข้าดำเนินการแก้ไข เริ่มต้นจากการตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งผ่านรางแล้วใช้รถเครนยกรางเพื่อรื้อออก พบว่ารางมีน้ำหนักมากต้องใช้รถเครนถึง 2 คัน พล.ต.ต.ธวัชชัย สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งดำเนินการแก้ไข ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมทั้งดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาและจับจ่ายซื้อของในตลาดสดชลประทาน
วิศวกรบริษัทติดตั้งเร่งหาสาเหตุ
ต่อมาเวลา 10.30 น. นายสุธี ทองแย้ม ผวจ.นนทบุรี พล.ต.ต.ปรารถนา แผ่นผา ผบก.ภ.จ.นนทบุรี นายภิรมย์ ชุมนุม นายอำเภอปากเกร็ด เดินทางมาตรวจที่เกิดเหตุ นายสุธีกล่าวว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นว่า รางระบบจ่ายไฟได้ตกลงมาจากจุดบริเวณหน้าตลาดชลประทาน ตกลงมาที่พื้นประมาณ 100 เมตร ส่วนที่เหลือจากแยกกรมชลประทานถึงแยกแครายมีรางระบบจ่ายไฟตกลงมาค้างอยู่บนคานตอม่อ ในส่วนที่รางตกลงมาทำให้รถยนต์เสียหาย แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนสาเหตุทางวิศวกรของบริษัทไอสตรอม เป็นผู้รับติดตั้งระบบรางจ่ายไฟอยู่ระหว่างตรวจสอบหาสาเหตุ
ถอดตัวเชื่อมต่อรางแยกชิ้นส่วน
ผวจ.นนทบุรีเผยต่อไปว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการประคองรางจ่ายไฟเพื่อป้องกันการดึงรางส่วนอื่นๆตกลงมาเพิ่มอีก ส่วนที่ตกลงมาแล้วเจ้าหน้าที่จะถอดตัวเชื่อมรอยต่อรางออก แยกเป็นชิ้นส่วนชิ้นละประมาณ 10 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 170 กก. หลังจากถอดรางจ่ายไฟได้แล้ว การไฟฟ้าจะเข้าดำเนินการซ่อมเสาไฟฟ้าและจะสามารถจ่ายกระแสไฟได้เป็นปกติภายในวันนี้ ส่วนเจ้าของรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายได้เข้าแจ้งความที่ สภ.ปากเกร็ด แล้ว พร้อมกับเชิญเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบทั้งส่วน
หน้างานรถไฟฟ้า และเจ้าหน้าที่บริษัท BTS เข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด เพื่อหาสาเหตุที่เกิดขึ้น
...
“สุริยะ” สั่งปิดเดินรถตรวจสาเหตุ
ต่อมาเวลา 12.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม พร้อมคณะเดินทางมาตรวจจุดเกิดเหตุด้านหน้าตลาดชลประทาน ที่มีความเสียหายหนัก นายสุริยะกล่าวว่า เมื่อเวลา 04.45 น. บริเวณสถานีสามัคคี (PK04) เกิดเหตุรางจ่ายกระแสไฟฟ้า (Conductor rail) หลุดร่วงลงชั้นพื้นถนนและเกี่ยวสายไฟฟ้าบริเวณหน้าตลาดชลประทาน ได้รับความเสียหายโดยส่งผลกระทบต่อการให้บริการเดินรถ ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางราง(ขร.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด(NBM) ผู้รับสัมปทานโครงการฯ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและพี่น้องประชาชน ตนได้สั่งการให้ปิดการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูตลอดสายในวันนี้ตั้งแต่เวลา 12.00 น.เป็นต้นไป เพื่อตรวจสอบสาเหตุอย่างละเอียด
ขู่ฟันโทษหนักหากเกิดเหตุซ้ำอีก
นายสุริยะกล่าวต่อไปว่า สำหรับวันที่ 25 ธ.ค.จะเปิดให้บริการ 23 สถานี คือตั้งแต่สถานีแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 (PK08) ถึงสถานีมีนบุรี (PK30) ส่วนตั้งแต่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) ไปจนถึงสถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ด (PK07) รวม 7 สถานีจะต้องดำเนินการตรวจสอบและประเมินเบื้องต้น 7วัน จากนั้นจะตรวจสอบให้มั่นใจในด้านความปลอดภัยก่อนจะพิจารณาเปิดให้บริการอีกครั้งต่อไป ทั้งนี้ได้กำชับว่าหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกจะมีบทลงโทษครอบคลุมตามสัญญาว่าด้วยเงื่อนไขในการเดินรถต่อไป
...
รถตรวจรางพบวัสดุแปลกปลอม
รมว.คมนาคมกล่าวอีกว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จากที่ได้รับรายงานเบื้องต้นระบุว่า รถตรวจรางพบวัสดุแปลกปลอม ซึ่งวัสดุแปลกปลอมดังกล่าวอาจจะเกิดจากรถเครนที่เข้าไปเคลียร์พื้นที่เพื่อคืนผิวจราจร แล้วไปขัดบริเวณตัวล้อด้านข้าง ทำให้ลากรางจ่ายกระแสไฟฟ้าหลุดออกทั้งแนว เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่มีรถยนต์บริเวณดังกล่าวเสียหาย 3คัน และเสาไฟฟ้าล้ม โดย NBM จะเป็นผู้รับผิดชอบ ค่าเสียหายทั้งหมด อย่างไรก็ตามหลังจากนี้จะมีรถตรวจทางวิ่งตรวจสอบในช่วงเวลา 04.00 น. ก่อนเปิดให้บริการทุกวัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการรถไฟฟ้า สายสีชมพูมีความปลอดภัยในการให้บริการและการเดินทาง
บริษัทผู้รับสัมปทานออกโรงแจง
บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด ผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ชี้แจงว่า รางรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่ร่วงหล่นไม่ใช่เป็นรางรถไฟฟ้า แต่เป็นรางที่ใช้จ่ายกระแสไฟฟ้า เป็นรางอะลูมิเนียมลักษณะเป็นเส้นต่อๆกัน หลุดจากที่ยึดคานคอนกรีตสำหรับตัวรถไฟฟ้าใช้วิ่ง จึงต้องหยุดให้บริการเป็นการชั่วคราว 7 สถานีก่อน และจะเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ส่วนรถยนต์ 3 คันที่ได้รับความเสียหายถูกรางร่วงหล่นลงมาทับ ขณะนี้ประกันได้เข้ามาดูแลแล้ว ภายหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่บริษัทฯพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานทุกฝ่าย เร่งตรวจสอบหาสาเหตุจากเหตุการณ์ดังกล่าวบริษัทฯกราบขออภัยในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้นิ่งนอนใจ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กันพื้นที่ด้านความปลอดภัยให้แก่ประชาชน และดำเนินการตามมาตรการป้องกันเหตุ พร้อมตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
เพจฯอ้างกระแสไฟฟ้าขัดข้อง
...
ขณะที่เพจเฟซบุ๊กโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี โพสต์ข้อความว่า เนื่องจากเกิดกระแสไฟฟ้าขัดข้องจึงแจ้งปิดให้บริการสถานีศูนย์ราชการนนทบุรีถึงสถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ดเป็นการชั่วคราว ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไข จะมีขบวนรถให้บริการจากสถานีแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 ถึงสถานีมีนบุรี ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ มีรถไฟฟ้าให้บริการ ทุก 10 นาที
รางจ่ายไฟไม่ทำขบวนรถหล่น
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. อยู่ระหว่างทดลอง การเดินรถให้ประชาชนใช้บริการฟรีตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย.66 ถึงวันที่ 2 ม.ค.67 เป็นรถไฟรางเดี่ยวหรือโมโนเรล มีลักษณะเป็นคานคอนกรีตเส้นเดียวให้รถวิ่งผ่าน ส่วนรางจ่ายกระแสไฟฟ้า (Conductor rail) ที่ร่วงตกลงมา เป็นรางตัวนำลักษณะกึ่งแข็งที่มีกระแสไฟฟ้าเพื่อจ่ายพลังงานให้กับขบวนรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง รางจะถูกวางที่ด้านข้างหรือระหว่างรางวิ่งของรถไฟฟ้า แม้รางจ่ายกระแสไฟฟ้าจะหลุดร่วงลงมา แต่ไม่ได้ทำให้ขบวนรถไฟฟ้าหล่น เนื่องจากตัวคานทางวิ่งและล้อรถจะทำหน้าที่ประคองตัวรถไฟฟ้า เพียงแต่ทำให้ขบวนรถขับเคลื่อนไม่ได้เท่านั้น
เหตุเกิดขณะขบวนรถตรวจทาง
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการ รฟม. นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BTS ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุร่วมกับบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้รับสัมปทานโครงการ นายสุรพงษ์เผยว่า กรมการขนส่งทางรางลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เริ่มต้นจากขบวนรถตรวจสอบความพร้อมเส้นทางก่อนเปิดให้บริการ (หมายเลข PM40) กำลังเคลื่อนที่เพื่อตรวจสอบ เส้นทางเดินรถไฟฟ้าก่อนเวลาเปิดให้บริการ ขณะนั้นอยู่ระหว่างสถานีสนามบินน้ำ (PK03) กับสถานีแคราย (PK02) ฝั่งมุ่งหน้าไปศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) เกิดรางนำไฟฟ้าที่อยู่ด้านข้างคานทางวิ่ง (Guide Beam) ฝั่งด้านนอกหลุดร่วง ทำให้รถไฟฟ้าเกิดการเบรกฉุกเฉิน ดังนั้นจึงได้ตัดกระแสไฟรางนำไฟฟ้าระหว่างสถานีแยกปากเกร็ด (PK06) ถึงสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) โดยศูนย์ควบคุมการเดินรถไฟฟ้าได้แจ้งให้ทุกสถานีรับทราบแผนการเดินรถสำรอง พร้อมกับเร่งจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทั้งการตัดไฟ การจัดการจราจร การตั้งเสาไฟฟ้า และ สายไฟบริเวณดังกล่าว รวมทั้งประสานเจ้าหน้าที่เพื่อนำรถยนต์ที่เสียหายออกจากพื้นที่เกิดเหตุ หลังจากนั้น จะถอดรางจ่ายไฟที่ร่วงลงมาวางบริเวณพื้นถนนเพื่อดำเนินการซ่อมแซมต่อไป
ระดับรางนำไฟฟ้าไม่อยู่ในตำแหน่ง
นายสุรพงษ์กล่าวต่อไปว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นจากการรายงานเบื้องต้นคาดว่าเป็นผลจากการดึง ชีตไพล์ของโครงการระบบสาธารณูปโภคบริเวณใกล้เคียง ออกตามขั้นตอนก่อสร้างเมื่องานแล้วเสร็จ ทำให้ระดับของรางนำไฟฟ้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เมื่อมีตัวรับกระแสไฟฟ้าที่ติดกับตัวรถไปกระแทกส่งผลให้เกิดการขยับตัวราง และมีชิ้นส่วนที่หลุดติดกับล้อขบวนรถไป ทำให้ไปเกี่ยวรางนำไฟฟ้าขยับออกแล้วร่วงลงมาด้านล่าง ลากรางจ่ายกระแสไฟฟ้าหลุดออกทั้งแนว หลังเกิดเหตุหารือร่วมกันระหว่างกรมการขนส่งทางราง (ขร.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้รับสัมปทานโครงการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบหาสาเหตุทันที เบื้องต้นสั่งการให้บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ตรวจสอบรางนำไฟฟ้าตลอดเส้นทาง รวมทั้งให้บริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (EBM) ผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กม. จำนวน 23 สถานี ตรวจสอบรางนำไฟฟ้าด้วย จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานงานกันพื้นที่ด้านความปลอดภัยให้แก่ประชาชน และดำเนินการตามมาตรการ ป้องกันเหตุ พร้อมตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
รื้อถอนชุ่ยดึงชีตไพล์ไปกระแทก
“ขบวนนี้ไม่ใช่ขบวนรถโดยสาร เป็นขบวนรถตรวจความพร้อมที่จะออกทำการก่อนที่ขบวนรถโดยสารจริงจะวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสาร เป็นการเซฟตี้ที่รถขบวนตรวจสอบล่วงหน้ามาเจอก่อนที่รถรับผู้โดยสาร จริงจะตามมา จากการสังเกตที่เห็นรางจ่ายไฟฟ้าตกลงมาก็ถือว่าเป็นระบบเซฟตี้หากเกิดการกระทบ กระเทือนตัวนี้จะเกิดปัญหาก่อน สาเหตุเกิดจากเราเร่งคืนพื้นที่ผิวจราจรมาทำการรื้อถอนในเวลากลางคืน ดูจากร่องรอยแล้วสันนิษฐานว่า เวลาถอนชีตไพล์ออกแล้วชีตไพล์มันยาวอาจไปกระแทกแล้วไม่ได้แจ้งกับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า พอรถตรวจรางออกมาวิ่งก็เจอก่อน นี่คือระบบสร้างความเชื่อมั่น เซฟตี้ที่ 1 คือรถตรวจการณ์มาเจอก่อน และเซฟตี้ที่ 2 คือพอเกิดเหตุการณ์ที่รางจ่ายไฟหลุดร่วงลงมา ขบวนรถจะจอดอยู่ที่เดิม” นายสุรพงษ์กล่าวและว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่จะให้พี่น้องประชาชนเดินทางได้โดยสะดวกที่สุด พยายามทำให้เร็วที่สุดน่าจะไม่เกิน 7 วัน และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
อุบัติเหตุสยองรถไฟฟ้าสีม่วง
อุบัติเหตุในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าอีกเหตุการณ์วันเดียวกัน เมื่อเวลา 08.20 น. พ.ต.ท.สุกุลวัฒน์ บัวทอง สวป.สน.บุปผาราม รับแจ้งเหตุเหล็กเส้นหล่นใส่ศีรษะโฟร์แมน ในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ปากซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 2 ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ประสานเจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊งตรวจสอบ
เหล็กเส้นร่วงใส่โฟร์แมนหนุ่มดับ
ที่เกิดเหตุเป็นโครงการก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีวงเวียนใหญ่ (PP25) จุดเกิดเหตุอยู่ริมถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน มุ่งหน้าอนุสาวรีย์สมเด็จ พระเจ้าตากสิน มีรถเครนยี่ห้อซานี่ ทะเบียน ตค 1392 กำลังยกเหล็กเส้นค้างไว้ต้องหยุดทำงาน ข้างรถเครนพบร่างนายชลสิทธิ์ สุขสบาย อายุ 23 ปี โฟร์แมนผู้ควบคุมคนงาน บาดเจ็บสาหัสกะโหลกศีรษะแตกเป็นแผลฉกรรจ์ นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น มีเหล็กเส้นข้ออ้อยตกอยู่ข้างๆ เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊งช่วยปฐมพยาบาลก่อนรีบนำส่ง รพ.ตากสิน แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา
หลุดจากเครนขณะเคลื่อนย้าย
สอบสวนนายเชิดศักดิ์ แสนเขื่อน อายุ 56 ปี คนขับรถเครนให้การว่า ระหว่างเคลื่อนย้ายเหล็กเส้นข้ออ้อย 3 เส้น ความยาวประมาณ 10 เมตร แขวนไว้กับเครน มีคนงานด้านล่างจับด้านปลายของเหล็กเส้นเพื่อจะเตรียมปล่อยวางลงกับพื้น แต่ยังไม่ทันนำลง ปลายเหล็กด้านบนที่ล็อกไว้กับเครนได้หลุดออกมาก่อนที่เหล็กเส้นจะหล่นฟาดใส่หัวโฟร์แมนได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นตำรวจคุมตัวนายเชิดศักดิ์ ส่ง ร.ต.อ.กษิดิ์กานต์ ดำรงรัตน์ รอง สว. (สอบสวน) สน.บุปผาราม สอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนแจ้งข้อหากระทำประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พร้อมประสานเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานให้มาร่วมตรวจสอบสิทธิของแรงงานต่อไป
รฟม.สั่งเร่งตรวจสอบหาสาเหตุ
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 24 ธ.ค. ในพื้นที่ก่อสร้างสถานีวงเวียนใหญ่ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ขณะเกิดเหตุ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ 4 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์ บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) อยู่ระหว่างยกเหล็กเส้นกำแพงกันดิน (D-Wall) ของสถานีวงเวียนใหญ่ เเละเกิดร่วงหล่นลงมาเป็นเหตุให้คนงาน ชายได้รับบาดเจ็บ 1 คน รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รฟม.สั่งการให้ผู้รับจ้างฯ ระงับการปฏิบัติงานที่ใช้เครนทั้งหมดทันที พร้อมสั่งการให้ที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างและผู้รับจ้างฯ ตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง ทบทวนมาตรการด้านความปลอดภัยของโครงการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก รฟม.ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมดำเนินการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อไป
“สุริยะ” เสียใจต่อครอบครัวผู้ตาย
ต่อมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ลงพื้นที่ตรวจที่เกิดเหตุ พร้อมเปิดเผยว่า อุบัติเหตุจากการดำเนินงานยกเหล็กเส้นกำแพงกันดิน (D-Wall) ร่วงหล่นขณะปฏิบัติงานในพื้นที่ก่อสร้างสถานีวงเวียนใหญ่ ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ มีบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ 4 เป็นเหตุให้คนงานชายเสียชีวิต 1 ศพ ตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
จ่ายเยียวยาเบื้องต้น 1.6 ล้านบาท
รมว.คมนาคม กล่าวต่อไปว่า จากการรายงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เบื้องต้นระบุว่า เหล็กเส้นกำแพงกันดิน (D-Wall) ร่วงหล่น เนื่องจากไม่ได้มัดรอบสลิงเบลต์ แต่ใช้วิธีเกี่ยวโครงเหล็ก และเมื่อวางเหล็กเส้นกำแพงกันดินบนพื้น ทำให้กระแทกโครงเหล็กกระจายออกจากกัน และสะบัดเข้าพื้นที่ปลอดภัยไปโดนศีรษะของคนงานชายและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผู้รับจ้างก่อสร้างจะรับดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด และจ่ายค่าเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตในเบื้องต้นประมาณ 1.6 ล้านบาท
กำชับป้องกันสั่งหยุดก่อสร้าง 7 วัน
นายสุริยะ เผยด้วยว่า อุบัติเหตุดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ปิด จึงไม่กระทบต่อประชาชนและผู้สัญจรบนถนนสมเด็จพระเจ้าตากสินแต่อย่างใด ได้กำชับให้ รฟม.วางแนวทางป้องกันไม่ให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นอีก โดยให้ตรวจเช็กโครงเหล็กให้หนาแน่นในทุกจุดต่อ พร้อมทั้งเสริมรอยเชื่อมให้แน่นหนาและให้รัดรอบเหล็กทุกครั้งก่อนนำเข้าพื้นที่ก่อสร้าง สำหรับบทลงโทษต่อผู้รับจ้างต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ รฟม.ได้สั่งหยุดการก่อสร้างเป็นระยะเวลา 7 วัน เพื่อดำเนินการสืบสวน และทบทวนมาตรการด้านการทำงาน และด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ หากมีการประเมินผลงานในครั้งต่อไป อาจโดนปรับอันดับ (เรตติ้ง) คุณภาพของผู้รับจ้าง อาจมีผลในการคัดเลือกผู้รับจ้างในโอกาสต่อไป
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่