หลังจากที่มีการระบาดของ “โควิด-19” มีการสืบสวนถึงต้นตอของโควิด จากการสอบสวนของรัฐสภาสหรัฐฯ จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม 2023 นั้น พบว่ามีการปกปิดข้อมูลและมีการบิดเบือนว่าไม่มีการตัดต่อพันธุกรรมและยืนยันว่าโควิดนั้นเกิดจากธรรมชาติ

ทั้งนี้ จากหลักฐานต่อมาทางวิทยาศาสตร์ล้วนไม่สนับสนุนการเกิดขึ้นตามธรรมชาติทั้งสิ้น นักวิทยาศาสตร์ที่ออกมาอ้างว่าเกิดตามธรรมชาติ และกล่าวหาว่าการเกิดจากห้องปฏิบัติการนั้นเป็นเรื่องโคมลอย โดยมีการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อในช่วงต้นปี 2020 ตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยไว้ว่า ผลปรากฏพิสูจน์แล้วว่าบุคคลเหล่านี้มีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีส่วนในการอนุมัติให้ทุนหรือได้รับทุนวิจัยจากสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติของสหรัฐฯ และมีความร่วมมือกับสถาบันไวรัสอู่ฮั่น และมีส่วนในการตัดต่อพันธุกรรมของไวรัสที่มาจากค้างคาวทั้งสิ้น

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

...

และแม้กระทั่งมีการจดสิทธิบัตร “วัคซีน mRNA โควิด” ล่วงหน้า ในปี 2014–2015

ที่สำคัญ...จากการวิเคราะห์ไวรัสโควิดพบว่ารหัสพันธุกรรมตำแหน่งสำคัญของไวรัสโควิดที่เข้าคนได้นั้น (furin cleavage site) เป็นตำแหน่งที่ไม่ควรมีความเป็นไปได้ ที่จะเป็นไปโดยการเกิดตามธรรมชาติ

โดยต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบปี เมื่อเทียบจากรหัสพันธุกรรมของไวรัสจากค้างคาวจากธรรมชาติทั้งหมดที่คล้ายคลึงกับ “โควิด” มากที่สุดก็ตาม

นอกจากนั้นจนกระทั่งมีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในเดือนมีนาคม 2023 ยังพบว่า “ค้างคาว” ที่อ้างว่าเป็นตัวนำ “โควิด” มีแต่เชื้อไวรัสที่คล้ายโควิดทั้งสิ้น และเป็นการตอกย้ำที่มีการกล่าวอ้างว่าโควิดนั้นเป็นการวิวัฒนาการตามธรรมชาติจนกระทั่งเข้าสู่คนเป็นเรื่องไม่จริง

การที่จะเข้าสู่คนได้จากค้างคาวนั้นจะต้องผ่านตัวกลางหลายขั้นตอน ซึ่งในไวรัสโควิดที่ปรากฏในการระบาดครั้งแรกที่อู่ฮั่นเป็นตัวที่สมบูรณ์พร้อมที่จะเข้ามนุษย์และพร้อมที่จะทำให้มีการติดต่อจากคนสู่คนได้

ทั้งนี้ โดยรหัสพันธุกรรมของไวรัสโควิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นนั้นแทบไม่มีความผิดเพี้ยนเลยตั้งแต่ต้น ซึ่งแตกต่างจากไวรัสที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากค้างคาว...สู่สัตว์ตัวกลางและมาเข้าคน ได้แก่ ซารส์ เมอร์ส ต่างก็มีสัตว์ตัวกลางก่อนที่จะเข้ามาถึงคนทั้งสิ้น และทำให้มีความแตกต่างของรหัสพันธุกรรมชัดเจนในการเริ่มระบาด

ทั้งนี้ จากการที่ไวรัสต้องมีการปรับเปลี่ยนรหัสพันธุกรรม วิวัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมในสัตว์ตัวกลางอื่นที่ไม่ใช่ค้างคาวและต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจะให้เข้าถึงมนุษย์ในที่สุด

ในการระบาดจากไวรัสจากค้างคาวก่อนหน้านั้น เนื่องจากมีการผ่านจากค้างคาวลงมาถึงสัตว์ตัวกลางซึ่งอยู่บนบกหลายครั้งหลายคราว จึงมีการระบาดที่ไม่ได้เกิดขึ้นที่เดียวเวลาเดียวกันพร้อมกัน

อย่างในกรณีของโควิด และรหัสพันธุกรรมของเชื้อที่ระบาดแม้ในตอนเริ่มของการระบาดอย่างซาร์ส เมอร์ส ไข้หวัดนก จึงมีความผิดเพี้ยนแตกต่างกันไม่เหมือนกัน เมื่อเทียบกันกับความเหมือนของไวรัสโควิดที่มีความเหมือนกันเฉียด 100% ในการระบาดตั้งต้นของโควิด

โดยมีการแตกต่างกันเพียงสองนิวคลิโอไทด์ในจำนวนเกือบ 30,000

กลุ่ม “คนไทยพิทักษ์สิทธิ์” เป็นแนวร่วมสำคัญที่ส่งพลังให้กำลังใจ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” อย่างเข้มแข็ง ซึ่งรู้เรื่องนี้มานานแล้ว บอกว่า สู้เรื่องนี้มาอย่างลับๆมาสองปีแต่ไม่มีคนสนใจมากนัก พอ “หมอดื้อ” ถูกสอบสวนก็เลยไปยื่นหนังสือถึงคณบดี...ผู้อำนวยการให้มีความกล้าหาญทางวิชาการ

และ...ยุติการทำอย่างนี้โดยทันที (การค้นหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า)

ทั้งยังยื่นหนังสือให้ประธานรัฐสภา รัฐมนตรีสาธารณสุข และล่าสุดหมอดื้อเองก็ได้ส่งเรื่องไปยังประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุขแล้ว เพื่อที่จะสอบสวนในเรื่องนี้

ย้ำว่า “โควิด–19” เป็นปรากฏการณ์สำคัญเกี่ยวกับมหันตภัย “โรคอุบัติใหม่”...ไวรัสสัตว์สู่คนที่ไม่ได้มีพัฒนาการตามธรรมชาติ หากแต่เป็นเชื้อร้ายที่มนุษย์พัฒนาขึ้นกระทั่งเป็น “เชื้อประดิษฐ์” ล้างโลก

...

หน่วยงานกลางสหรัฐฯ government accountability office (GAO) รวมทั้ง FBI เปิดเผยโควิดมาจากห้องทดลองตัดต่อพันธุกรรม เชื่อมโยง ทุนจากสหรัฐฯ ผ่าน NIH USAID EcoHealth alliance Wuhan

หน่วยงานกลาง GAO นี้เองที่ถามข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ ในเดือนกรกฎาคม 2023 ว่าที่ได้ทุนจากสหรัฐฯได้ประโยชน์หรือไม่และคิดว่ามีความเสี่ยงอันตรายหรือไม่?

ตอบไปว่า...ไม่ได้ประโยชน์ในการคาดคะเนโรคเข้ามามนุษย์แต่เสี่ยงอันตรายแน่ๆและนำไปสู่การยุติโครงการหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าทั้งหมดและทำลายตัวอย่างไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนเมษายน 2023 จนหมด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ตอกย้ำ...เรื่องที่คนไทยควรต้องทราบ “โควิดเกิดจากอะไร?” และกระบวนการเช่นนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกในสถาบันและองค์กรของประเทศ ประเทศไทยเราเอง...จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือ?

หลักฐานข้อมูลรายละเอียดที่เปิดโปงจากต่างประเทศ...รายงานจากคณะทำงานต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ เปิดเผยต่อสาธารณะรายงานฉบับเต็ม 302 หน้า เดือนมกราคม 2023 US senate รัฐสภาสหรัฐฯ เป็นฉบับเต็มของ interim report ที่ออกมาก่อนหน้าในเดือนตุลาคม 2022

...

“...ไม่ใช่เป็นเรื่องการเมือง เป็นเรื่องเชื่อมโยงกันกับการวิจัยไวรัสจากค้างคาว การตัดต่อพันธุกรรมและในที่สุดเกิดเหตุระบาด ณ ที่นั้น ตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายน 2019 โควิดตัวสมบูรณ์ หลุดจากห้องปฏิบัติการในอู่ฮั่นจากการพัฒนาวัคซีนโดยได้รับทุนสนับสนุน”

หลักฐาน ความเกี่ยวพัน สถานที่ เวลาการเกิด ระยะเวลาแรกที่เกิด ลักษณะสมบูรณ์แบบของตัวไวรัสที่เข้ามนุษย์และติดต่อคนสู่คนได้ตั้งแต่ต้น ไม่พบหลักฐานในสัตว์และอื่นๆ

ทำให้ต้องยุติการเอาไวรัสจาก “ค้างคาว” และ “สัตว์ป่า” มาตัดต่อพันธุกรรมทำให้ติด “มนุษย์” ได้ง่ายขึ้นและเกิดโรค

...

คำถามสำคัญมีว่า...อนาคตมองเรื่องทุนกับการวิจัยไวรัสใหม่ๆ อย่างไร? ก็มีคนถามว่าถ้าห้ามในเมืองไทยได้ แต่ในต่างประเทศยังเกิดขึ้น “หมอดื้อ” บอกว่า ต่างประเทศสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของต่างประเทศ

“ส่วนประเทศไทยให้ยุติก่อนจะดีกว่า กระทรวงสาธารณสุขหรือรัฐบาลไทยต้องสอดส่องเรื่องนี้ให้ดีไม่อย่างนั้นประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นขึ้นมาคงไม่ดีแน่ เราจะไม่มีที่ยืน”

“หมอดื้อ” เหมือนเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ...แต่ยังคงหยัดยืนอย่างมั่นคง ให้ความรู้ประชาชนสนใจใส่ใจสุขภาพ เพื่อป้องกันชีวิต แคร์ต่อการป้องกันโรค เป็นหมอที่ไม่ได้ขายยา...ต่อต้านผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพโฆษณาเกินจริง ไม่ได้ทำเพื่อกำไร หากแต่ทำเพื่อคุณภาพชีวิตคนไทยอย่างตรงไปตรงมา

ขอปิดท้ายด้วยคาถาหัวใจหมอ... “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์” พระราชดำรัสสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก...“เจ้าฟ้ามหิดล”.

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม