สำนักงานสลากฯ เผยผลงาน 1 ปี ประชาชนตอบรับสลากดิจิทัล ตอกย้ำ "สลาก 80 บาทมีอยู่จริง" เตรียมเพิ่มจำนวนเป็น 30 ล้านใบ เดินหน้าเพิ่มตัวแทนจำหน่ายต่อเนื่อง
พันโทหนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สำนักงานสลากฯ ดำเนินโครงการสลากดิจิทัล โดยทำการเปิดขายครั้งแรกในงวดวันที่ 16 มิ.ย. 2565 ที่จำนวน 5 ล้านใบ ได้รับความสนใจจากประชาชนผู้ซื้อสลาก รวมทั้งตัวแทนรายย่อยผู้ค้าสลาก เป็นจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันงวดวันที่ 16 ก.ย. 2566 มีจำนวนสลากดิจิทัลทั้งสิ้นกว่า 20 ล้านใบ โดยในงวด 1 ต.ค. 2566 จะมีปริมาณสลากดิจิทัล 21 ล้านใบ และยังคงสามารถจำหน่ายได้หมดทุกงวด สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในแนวทางการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ที่สำนักงานสลากฯ ได้ดำเนินการด้วยความมุ่งมั่น แก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง
ภายในปี 2566 สำนักงานสลากฯ ยังคงตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อ สามารถเข้าถึงสลาก ราคา 80 บาท ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เป็น 30 ล้านใบ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 ล้านใบต่องวด ตามภาวะตลาดในแต่ละงวด และไม่กระทบสลากแบบใบในระบบที่มีอยู่ 80 ล้านใบ โดยจะทยอยเรียกรายย่อยที่ลงทะเบียนเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัลมาทำสัญญา รวมทั้งยังมีการเปิดให้ตัวแทนประเภทบุคคลรายย่อยทั่วไป คนพิการ สมาคม องค์กร มูลนิธิ และผู้มีสิทธิ์ทำรายการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากกินแบ่งรัฐบาล แจ้งความประสงค์โดยสมัครใจเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากดิจิทัล (Lottery 6 หรือ L6) ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค. 2566-28 ต.ค. 2566 ผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th อีกด้วย
ผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลข 3 หลัก หรือ N3 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด อาทิ ราคาและวิธีการจำหน่าย ที่ยังคงวิธีการจำหน่ายในรูปแบบดิจิทัล และใช้การขายผ่านตัวแทนจำหน่ายเหมือนเดิม ซึ่งอาจจะใช้ช่องทางจำหน่ายปัจจุบัน หรือเพิ่มช่องทางให้เดินจำหน่ายได้ เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2567 ตามที่สำนักงานสลากฯ ได้วางแผนไว้ โดยยืนยันว่า สลากตัวเลข 3 หลัก จะเป็นทางเลือกให้ประชาชน อีกทั้งช่วยแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา
“สำนักงานสลากฯ ยังคงยึดแนวทางในการดำเนินการจำหน่ายสลาก ที่มุ่งเน้นสร้างโอกาส และรายได้ให้กับตัวแทนรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้มีรายได้น้อย ที่จะต้องพิจารณาการเข้าถึงสิทธิ์ในการจำหน่ายสลาก N3 ก่อน ตามแนวทางของรัฐบาล และความห่วงใยคณะกรรมการสลากฯ ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ที่มีแนวคิดอยากเห็นกลุ่มเปราะบางทั้งรายเก่ารายใหม่ มีกำไรจากการขายสลาก N3 เทียบเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำทั่วไป”
นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสลากฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการดำเนินการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน และผลจากการออกสลากดิจิทัลในช่วงที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า "สลาก 80 บาทมีอยู่จริง" ส่งผลให้ในระยะต่อไป จำนวนสลากดิจิทัลในระบบยิ่งมีจำนวนมากเท่าใด ยิ่งส่งผลดีต่อประชาชนผู้ซื้อสลาก ทำให้สามารถซื้อในราคา 80 บาทได้มากขึ้น จะเห็นได้จากที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ซื้อสลากดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“นโยบายรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน มีความตั้งใจจะผลักดันให้เกิดสังคมดิจิทัลให้เร็วขึ้น สำนักงานสลากฯ จึงเล็งเห็นความสำคัญ โดยยึดจากประโยชน์สูงสุดของผู้ซื้อ ควรเพิ่มสลากดิจิทัลให้มากขึ้น พร้อมทั้งมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่องว่า สลากดิจิทัลที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ราคาขายสลากแบบใบมีแนวโน้มลดลงตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ เพื่อปรับปรุงการดำเนินการต่างๆ ให้มีความเหมาะสมในระยะต่อไป”
โฆษกคณะกรรมการสลากฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินการสลากกินแบ่งรัฐบาลตัวเลข 3 หลัก นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาสลากเกินราคา สร้างรายได้ให้กับภาครัฐ และตัวแทนกลุ่มต่างๆ แล้ว ยังเกิดผลพลอยได้ในการดึงเม็ดเงินที่อยู่นอกระบบ เข้ามาอยู่ในระบบด้วย โดยคาดว่าเงินนอกระบบในส่วนนี้ มีอยู่ราว 100,000-400,000 ล้านบาทต่อปี โดยการออกสลากแบบ N3 คาดว่าจะสามารถดึงเม็ดเงินส่วนนี้กลับเข้ามาได้อย่างน้อยราว 10% หรือ 10,000-40,000 ล้านบาทต่อปี โดยไม่กระทบกับการจำหน่ายสลากแบบใบ และสลากดิจิทัล ในปัจจุบัน