นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ว่า เป็นการประชุมนัดสุดท้ายในฐานะรองนายกฯ และ รมว.สธ. โดยที่ประชุมมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันชุดใหม่ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่สร้างความมั่นใจให้กับสังคมในเรื่องการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคต่างๆได้ นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติกรอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีส่วนร่วมในการจัดหาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเอง

ซึ่งต้องมีขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างตามหลักเกณฑ์ของกรมบัญชีกลาง โดย อปท.ที่จะจัดหาได้ต้องมีหนังสืออนุมัติจากกรมควบคุมโรคและกระทรวงสาธารณสุข ส่วน อปท.ใดจะมีศักยภาพในการจัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่นั้น เป็นเรื่องในอนาคต เรื่องนี้เป็นไปตามหลักการกระจายอำนาจ ซึ่งมีการโอนถ่ายการบริการไปยังท้องถิ่น สถาบันวัคซีนฯก็ดำเนินการตามนโยบาย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้มีการอนุมัติการจัดหาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือ HPV ให้กับเด็กหญิงตั้งแต่ ป.5 ขึ้นไป โดยร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

ด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ภาครัฐมีการจัดหาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงเป็นประจำทุกปี โดยสัดส่วนของ สปสช. เป็นชนิด 3 สายพันธุ์ ประมาณ 4 ล้านโดส งบประมาณ 400 ล้านบาท และสัดส่วนของกรมควบคุมโรค เป็นชนิดป้องกัน 4 สายพันธุ์ งบประมาณ 10 ล้านบาท แต่ในจำนวนที่มีการจัดหานี้ถือว่ายังไม่เพียงพอกับกลุ่มเสี่ยงอื่นๆที่ควรได้รับวัคซีน ทั้งผู้สูงอายุที่มีประมาณ 12 ล้านคน เด็ก 6 เดือน-3 ขวบ และกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆอีก

ดังนั้น วัคซีนที่มีจึงถือว่ายังไม่ครอบคลุม ดังนั้น หากมี อปท. เข้ามาช่วยดำเนินการตรงนี้ก็จะช่วยให้มีวัคซีนที่ครอบคลุมประชาชนกลุ่มต่างๆ มากขึ้น เพราะบางพื้นที่อาจจะมีกลุ่มเสี่ยงที่นอกเหนือจากกลุ่มเสี่ยงที่ตั้งไว้ เช่น ค่ายทหาร เรือนจำ เป็นต้น ทั้งนี้ การให้ อปท.จัดหาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้นั้น จะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2567 นำร่องในจังหวัดใกล้กรุงเทพฯก่อน.

...