ในระหว่างที่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของพรรคที่ได้จำนวน สส. จากการเลือกตั้งเป็นอันดับ 2 อันได้แก่ พรรคเพื่อไทย กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นในขณะนี้ เรามาเขียนให้กำลังใจการทำงานของ “กลไก” ปกติต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยของเราเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการสะดุดหรือหยุดชะงักกันดีกว่าครับ
เมื่อ 2-3 วัน นี้เอง หน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม และรับบทพระเอกในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 อย่างน่าชมเชยยิ่ง อันได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้ออกมาแถลงข่าวสำคัญอีกข่าวหนึ่ง
ว่าด้วยการจัดงานที่อาจไม่ถึงกับใหญ่นัก แต่ก็ไม่เล็กอย่างแน่นอนในชื่อภาษาอังกฤษว่า “World Kaphrao Grand Prix 2023” เพื่อหาทางผลักดัน “ผัดกะเพรา” เมนูหลักของอาหารไทยอีกเมนูหนึ่งให้เป็นเมนูระดับโลก และเป็นที่ยอมรับของนักชิมทั่วโลกในเวลาอันไม่นานนี้
เช่นเดียวกับ “ผัดไทย” ที่ทุกวันนี้เป็นที่รู้จักอย่างดียิ่งในทุกๆประเทศ
เพื่อการนี้ ททท. จะใช้พื้นที่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ด้านสถานีรถไฟหัวลำโพงเป็นสถานที่จัดงานแข่งขัน “ผัดกะเพราชิงแชมป์ประเทศไทย” ภายใต้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Pad Kaphrao Thailand Championship 2023” ให้บรรดายอดเชฟทั้งหลายมาผัดกะเพราแข่งขันเพื่อชิงแชมป์ ซึ่งจะได้ทั้งถ้วยและเงินรางวัลหลายแสนบาท
โดยจะมีการแข่งขันระดับภาค 5 ภาคและ กทม. จนได้แชมป์ มาซะก่อนแล้วก็ให้แชมป์มาแข่งขันสนามสุดท้ายที่นี่
ขณะเดียวกันภายในงานนี้ก็จะมีการออกร้านสตรีทฟู้ดเน้นผัดกะเพราเป็นหลักแต่ก็มีอาหารไทยอร่อยๆอย่างอื่นด้วย รวมถึงการขายวัตถุดิบและสินค้าที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ที่มาเที่ยวงานนี้ด้วย
...
งานจะเริ่มวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม ไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม ตั้งแต่บ่าย 3 โมง ถึง 4 ทุ่ม ตลอดทั้ง 3 วันที่จัดงาน ซึ่งท่านผู้ว่าฯ ททท.คาดการณ์ไว้ว่าจะมีผู้มาเที่ยวงานและรับประทานอาหารด้วยไม่ต่ำกว่า 15,000 คน ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางการเงินไม่ต่ำกว่า 35 ล้านบาท
หวังว่า ททท. จะวางแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์งานนี้อย่างเต็มที่ผ่านสื่อต่างๆในระดับนานาชาติ ที่ท่านถนัดไปด้วยนะครับ อย่าคาดหวังเฉพาะสื่อในประเทศเพียงอย่างเดียว
ผมเป็นแฟนคลับ “ผัดกะเพรา” ตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่งของประเทศไทย...รับประทานมาตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2501 ที่ผมเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯปีแรก
ฝากท้องไว้กับร้านอาหารตามสั่งปากซอยหน้าบ้านแบ่งเช่าที่ผมกับเพื่อนมาแชร์กันเช่าเป็นที่พักอาศัยแถวๆสามย่านใกล้โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษานั่นเอง
เมนูหลักของผมจะสลับกันไประหว่างข้าวผัดกะเพรา “หมู-ไก่-เนื้อ” กับข้าว ไข่เจียว “หมู-ไก่” สับ ซึ่งใน พ.ศ.นั้นจานละแค่ 5 บาท ถ้าโปะไข่ด้วยเพิ่มอีกบาทเดียวสำหรับข้าวกะเพรา
มีนักเขียนบางท่านตั้งฉายาให้ข้าวราดหน้ากะเพราว่าเป็น “เมนูสิ้นคิด” เพราะพอคิดอะไรไม่ออกก็สั่งแต่ “ข้าวผัดกะเพรา”
สำหรับผมช่วงนั้นกลับมองว่าเป็นเมนูที่ผมและเจ้าเพื่อนที่อยู่ห้องเช่าเดียวกันรู้สึกว่า “ตูคิดดีแล้ว” เพราะราคาถูกที่สุดสำหรับอาหารมื้อกลางวัน หรือมื้อเย็นที่จำเป็นต้องกินหนักๆเพื่อให้อยู่ท้อง ดังนั้นแม้จะต้องกินซ้ำๆสั่งซ้ำๆก็ต้องยอมทนกินทนสั่งไปตลอดทั้งปี
จนกลายเป็นคนชอบกิน “ข้าวกะเพรา” มาทั้งชีวิตตราบทุกวันนี้
ผมจึงรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อทราบว่าการท่องเที่ยวจะโปรโมตอาหาร “สิ้นคิด” ของใครบางคน แต่เป็นอาหารที่ผม “คิดอย่างดีแล้ว” เมนูนี้ให้เป็นเมนูโลกอีกเมนูหนึ่ง
ผมขออวยพรให้ประสบความสำเร็จนะครับ...ขอให้การแข่งขันครั้งนี้มี “สูตร” แบบกลางๆที่ไม่เผ็ดเกินไป ไม่ฉุนเกินไป...ทั้งฝรั่งทั้งจีนทั้งตะวันออกกลางและแอฟริกาสามารถรับประทานได้อย่างคล่องปาก
อย่างที่ผมบอกไว้นั่นแหละ หากผัดกะเพราฮิตทั่วโลก ต่อไปสินค้าส่งออกที่สำคัญของเราอีกรายการหนึ่ง...ก็คือ “ใบกะเพรา” นั่นเอง พี่น้องเกษตรกรปลูกกะเพราของเราจะพลอยรวยไปด้วย
ปลูก “กัญชา” ยังมีเรื่องที่ต้องฝ่าฟันอีกเยอะ...เพี้ยง! ขอให้ ททท. ประสบความสำเร็จทีเถอะ เกษตรกรไทยจะได้หันมาปลูก “กะเพรา” ทดแทน.
“ซูม”