เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2566 ที่ ผ่านมาที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บอร์ด สปสช.” มีมติรับทราบการลงนามในประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

เรื่อง หลักเกณฑ์การดําเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ.2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2566 ลงนามโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานบอร์ด สปสช. (4 ส.ค.2566)

มีผลทำให้เกิดการปฏิบัติตามมา คือ...การเร่งจ่ายเงินชดเชยค่าบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคย้อนหลังแก่ “หน่วยบริการ” โดยมีข้อมูลรอเบิกจ่ายแล้วกว่า 600 ล้านบาท

อนุทิน ชาญวีรกูล
อนุทิน ชาญวีรกูล

ประเด็นข้อติดขัดสำคัญคือการเคลียร์ปัญหาข้อกฎหมายให้ใช้ “เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” สนับสนุนการจัดบริการแก่คนไทยได้ทุกคน

...

รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ บอกว่า ประกาศหลักเกณฑ์ฉบับดังกล่าว มีสาระสำคัญคือ

“สปสช. สามารถใช้เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไปสนับสนุนการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP) แก่ประชาชนไทยทุกคนทุกสิทธิ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565”

ที่มาของการออกประกาศฉบับนี้ เนื่องจากประกาศหลักเกณฑ์การดําเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การรับค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ ฉบับที่ 1

ซึ่งว่าด้วยกระบวนการการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนการจัดบริการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค และควรจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565

ที่ผ่านมานั้นมีประเด็นที่ไม่ชัดเจนทางกฎหมายว่าที่ สปสช. ใช้เงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคครอบคลุมคนไทยทุกคนทุกสิทธินั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? หรือต้องสนับสนุนการจัดบริการให้เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองเท่านั้น?

ทำให้การประกาศใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวถูกเลื่อนออกไป

รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร
รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร

ขณะเดียวกันก็มีการออกประกาศหลักเกณฑ์เพิ่มเติมฉบับที่ 2 วางแนวทางให้ใช้เงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สนับสนุนการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคเฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทองไปก่อน

ส่วนผู้มีสิทธิสุขภาพอื่นๆ เช่น ผู้ประกันตน ข้าราชการ ทาง สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหาทางออกด้วยการขอความร่วมมือหน่วยบริการให้บริการแก่ประชากรกลุ่มนี้ไปก่อน และส่งข้อมูลการเบิกจ่ายมาเก็บไว้ที่ สปสช.

โดยเมื่อมีความชัดเจนทางข้อกฎหมายแล้ว สปสช.จะได้จ่ายชดเชยค่าบริการให้ทันที

ในด้านการสร้างความชัดเจนด้านกฎหมาย ด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2566 ส่งเรื่องการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้บุคคลใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา

โดยต่อมาเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2566 ทาง ครม.ได้มีมติรับทราบผลการตรวจพิจารณาและข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่ส่งไปนี้ ซึ่งระบุว่า...

...

ตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2565 เห็นชอบวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ครอบคลุมการให้บริการสาธารณสุขแก่ “ประชากรไทยทุกคน” โดยมิได้ยกเว้นบุคคลตามมาตรา 9 และมาตรา 10 ดังนั้น สปสช.จึงมีอำนาจในทางบริหารตามที่ได้รับมอบหมายจาก ครม.

พร้อมกันนี้มติ ครม.ยังให้กระทรวงสาธารณสุข สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษนี้ ดังนั้น บอร์ด สปสช.จึงมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรี และรับทราบการลงนามในประกาศหลักเกณฑ์ฯ (ฉบับที่ 3) ในการประชุมครั้งนี้

รศ.พญ.ประสบศรี ย้ำว่า สำหรับการดำเนินการในปีต่อไปเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ด้วยมติ ครม.เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2566 ถือเป็นมติสำคัญที่ยืนยันการดำเนินการบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับคนไทยทุกคนเป็นอำนาจ สปสช.ที่ทำได้ ทั้งในมาตรา 5 และ 18 (14)

ดังนั้นในการของบประมาณจะต้องอ้างมติ ครม. วันที่ 18 ก.ค. 2566 เพื่อยืนยันหลักการ และเพื่อความยั่งยืนในการของบประมาณ

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. เสริมว่า หลังจากที่บอร์ด สปสช.ได้รับทราบความชัดเจนทางกฎหมายต่างๆแล้ว ได้กำชับให้เร่งดำเนินการใน 2-3 ประเด็น

...

หนึ่ง...เร่งรัดการจ่ายชดเชยค่าบริการ แก่หน่วยบริการที่จัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ประชากรกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้มีสิทธิบัตรทอง ตามที่ได้ขอความร่วมมือให้จัดบริการไปพลางก่อนระหว่างรอความชัดเจนทางกฎหมายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งตามแนวทางที่วางไว้ หน่วยบริการจะส่งข้อมูลการเบิกจ่ายมารอไว้อยู่แล้ว

ขณะนี้มีข้อมูลที่รอการเบิกจ่ายอยู่แล้วประมาณ 600 ล้านบาท สปสช.จะเร่งจ่ายเงินให้ต่อไป ขณะเดียวกันก็ขอให้หน่วยบริการที่ยังไม่ได้ทำเรื่องเบิกเข้ามา เร่งดำเนินการส่งข้อมูลการเบิกจ่ายโดยเร็วต่อไป

สอง...ประสานงานประชาสัมพันธ์ให้หน่วยบริการ จัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเพิ่มเติม เพราะแม้ขณะนี้จะเข้าสู่ช่วงปลายปีงบประมาณ แต่ก็ยังพอมีเวลาที่หน่วยบริการจะสามารถจัดบริการเชิงรุกด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคได้ เมื่อจัดบริการแล้วก็สามารถส่งข้อมูลเพื่อเบิกจ่ายเงินมาได้ทันที

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

...

สาม...ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบสิทธิในการรับบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพื่อที่จะได้เข้าไปรับบริการตามสิทธิ รวมทั้งขอความร่วมมือกรมบัญชีกลาง และสำนักงานประกันสังคม ให้ช่วยประชาสัมพันธ์แก่ข้าราชการและผู้ประกันตนอีกทางหนึ่ง

ถึงตรงนี้ผู้ที่มีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช. “1330”...ช่องทางออนไลน์ไลน์ สปสช.พิมพ์ไลน์ไอดี “@nhso” หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 ...เฟซบุ๊ก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

ไลน์ Traffy Fondue เป็นเพื่อนใน LINE ค้นหาไอดี @traffyfondue หรือคลิกที่ลิงก์ https://lin.ee/nwxfnHw

เงื่อนปมข้อติดขัดทางกฎหมายคลี่คลายแล้ว ตอกย้ำประเด็นสำคัญ...แนวรบการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค อย่างจำเป็น ...เร่งด่วน...ทันกาล “สปสช.” สามารถนำเงินจาก “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ไปใช้ในการจัดบริการแก่ “คนไทยทุกคน” ได้อย่างยั่งยืน.

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม