วันนี้ (18 ก.ค. 66) เวลา 06.30 น. ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 18 กรกฎาคม 2566 โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายพรพจน์ เพ็ญพาส นายสมคิด จันทมฤก นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายรัฐพล นราดิศร รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายอำพล พงศ์สุวรรณ นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายวัชรเดช เกียรติขจร รก.ที่ปรึกษาด้านการปกครอง นายมานะ สิมมา รก.ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิรวรรณ เพ็ญพาส นางปวีณ์ริศา เกิดสม นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ คณะกรรมการและสมาชิกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธี
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำผู้ร่วมพิธีถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 20 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล โดยได้รับเมตตาจาก ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร นำพระภิกษุสงฆ์ สามเณรเดินบิณฑบาต เสร็จแล้ว นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำผู้ร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ และจุดธูปเทียนที่เครื่องทองน้อย เบื้องหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แล้วกล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ความว่า “สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทรงยึดมั่นในคุณค่าของความเป็นมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงชาติกำเนิดและสถานะ มีพระราชหฤทัยแน่วแน่ในการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นทุกข์และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระองค์ทรงเป็นที่รักเทิดทูนของพสกนิกรชาวไทย และชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “แม่ฟ้าหลวง” หรือ “พระแม่หลวงผู้เสด็จจากฟากฟ้า” หรือ “สมเด็จย่า” อันแสดงถึงความรักและเทิดทูนในพระมหากรุณาธิคุณอย่างซาบซึ้ง
ใน “ด้านการศึกษา” ทรงให้ความสำคัญกับการศึกษาของเยาวชนในเขตชนบทเป็นอย่างมาก ทรงมีพระราชดำริว่า การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เยาวชนในชนบทมีความรู้ ความคิด และสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด อันจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาชนบท เมื่อครั้งเสด็จฯ ออกเยี่ยมเยียนราษฎรในปีพุทธศักราช 2507 ทรงพบกับสภาพความขาดแคลนของโรงเรียนสำหรับเยาวชนในท้องถิ่นทุรกันดาร และทรงทราบว่ากองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนได้กำหนดโครงการที่จะจัดสร้างโรงเรียนชาวเขาขึ้นในเขตพื้นที่ตามแนวชายแดน จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้แก่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อนำไปจัดสร้างโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และได้นำโครงการของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนไว้ในพระราชูปถัมภ์ และใน “ด้านการแพทย์และสาธารณสุข” ทุกครั้งที่เสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนในท้องที่ห่างไกลจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงที่ตามเสด็จฯ ช่วยรักษาพยาบาลชาวบ้านที่ป่วยไข้ ทำให้แพทย์หลวงที่ตามเสด็จฯ จำนวน 1-2 ท่าน ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่มีจำนวนมากได้ทัน จึงได้ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสาในพระองค์ขึ้น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นทุนเริ่มแรกจดทะเบียนจัดตั้งเป็น “มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” หรือ พอ.สว. ซึ่งหน่วยแพทย์ พอ.สว. จะประกอบไปด้วยแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เป็นอาสาสมัครทำงานด้วยความเสียสละ โดยมิได้รับเงินเดือน และจะเคลื่อนที่ออกไปให้บริการตรวจรักษาชาวบ้านตามท้องถิ่นต่างๆ ที่กันดารห่างไกลความเจริญ นอกจากนี้ “ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ทรงมีพระราชปณิธานอันมั่นคงในการที่จะผดุงรักษาธรรมชาติอันงดงามของดอยตุง ให้คงไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าของลูกหลานไทยสืบไป จึงทรงมีพระราชดำริให้นำหญ้าแฝกมาทดลองปลูก เพื่อป้องกันการเลื่อนไหลของดิน พร้อมกับอนุรักษ์ดินและน้ำของดอยตุง” นายสุทธิพงษ์ กล่าว
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนี ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงโปรดการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย การทรงงานด้วยพระองค์เอง และทรงใช้จ่ายอย่างประหยัด เพื่อนำพระราชทรัพย์ไปใช้ในกิจการกุศล ทรงใฝ่รู้ศึกษาวิชาการต่างๆ ตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งทรงเลื่อมใสศรัทธาและศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทรงฝึกสมาธิ และทรงดำเนินพระชนม์ชีพอยู่ในธรรมะ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นต้นแบบของมารดาที่ฟูมฟักเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนบุตรธิดา ด้วยการฝึกให้พระโอรสและพระธิดาได้ทรงเรียนรู้ด้วยการให้เล่นหิน ดิน ทราย เล่นอยู่กับธรรมชาติ เกิดการสร้างปฏิภาณ ไหวพริบ มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง และเกิดคุณธรรม ความรัก ความผูกพัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จนกระทั่งทรงเจริญวัยเป็นยุวกษัตริย์ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา และเจ้าฟ้าฯ นักพัฒนา โดยแนวทางตามพระราชดำริในการทรงเลี้ยงดูพระโอรสธิดานั้น กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับมูลนิธิสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา น้อมนำแนวทางของพระองค์ท่าน มาส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้พัฒนาเด็กเล็กในท้องถิ่นในทุกด้าน ทั้งด้านสมอง ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และวินัย ภายใต้ชื่อโครงการสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ที่จะเป็นพื้นฐานให้เด็กเติบใหญ่เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ
“ด้วยดวงจิตที่บริสุทธิ์ของข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกคน ที่ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จักมุ่งมั่นน้อมนำแนวทางการทรงงานที่ได้พระราชทานไว้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการปฏิบัติหน้าที่และดำรงตน เพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนสืบไป” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย