ศ.นพ.ประเวศ วะสี เล่าให้ฟังว่า ...นานมาแล้วที่ศิริราชฯ อาจารย์หมออวย เกตุสิงห์ เชิญอาจารย์พร รัตนสุวรรณ ซึ่งเรียกกันว่า “พรวิญญาณ” เพราะนั่งสมาธิแล้วเห็นวิญญาณต่างๆ นำลูกศิษย์มานั่งสมาธิแล้วถามว่าเห็นอะไรบ้าง ลูกศิษย์บอกว่าเห็นวิญญาณคนไข้ที่ตายไปยั้วเยี้ยไปหมด
และเห็น “วิญญาณแพทย์ที่ตายไปแล้วกำลังอยู่เวร” พอถึงตอนนี้พวกแพทย์ที่กำลังมุงดูแตกฮือเลย อุทานว่า...“นึกว่าเป็นเวรแต่ชาตินี้ ตายไปแล้วยังต้องอยู่เวรอีก!”
เวลาตรวจคนไข้ที่โอพีดี คนไข้ยั้วเยี้ยไปหมด ต้องตรวจแต่ละคนอย่างเร่งรีบ รวบรัด เลยเที่ยงไปแล้วก็ยังไม่หมด ทั้งเหนื่อยทั้งหิว
นี่คือ...เรื่องภาระหนักเกินตัวเป็นความจริง ที่หนักฝังใจเหมือนฝันร้ายในชีวิตของแพทย์คือการเป็น “แพทย์เวร” 24 ชั่วโมง แล้วยังต้องไปราวน์วอร์ดต่อโดยไม่ได้พัก
ผนวกกับมิติปัญหาที่ซับซ้อน นับตั้งแต่...การมีหลักประกันสุขภาพหรือบัตรทอง ทำให้จำนวนคนไข้ที่หลั่งไหลมาโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นหลายล้านคน จากเมื่อก่อนไม่กล้ามาเพราะไม่มีเงิน อีกส่วนหนึ่งคิดว่าไหนๆก็ฟรีไม่ต้องเสียเงิน ไปตรวจเสียหน่อยก็ดี เดี๋ยวจะขาดทุน
...
ถัดมา...คนไข้ส่วนใหญ่ที่มาโรงพยาบาลคือเป็นหวัด เจ็บคอ ปวดหัว ปวดท้อง แต่ต้องมาไกล รอนาน บริการรีบร้อน คุณภาพจะดีได้อย่างไร เลยไปกระทบคุณภาพของบริการผู้ป่วยที่จำเป็นจริงๆ ที่จะต้องได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล
นอกจากนี้แล้ว...เมื่อ โรงพยาบาลเอกชนเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ก็ดึงแพทย์และพยาบาลออกไปจากโรงพยาบาลของรัฐจำนวนมาก ทำให้คนที่เหลือต้องรับภาระหนักเพิ่มขึ้น
“โรงพยาบาลเอกชนมีแรงจูงใจสูงกว่า สภาพการทำงานก็ดีกว่า งานไม่หนักเท่า ค่าตอบแทนสูงกว่า ใครจะไม่อยากไป”
แถมยังมี “Medical Hub”...เมดิคัลฮับที่คนต่างชาติก็นิยมมารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทย นำรายได้และชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย ใครๆก็เชียร์ Medical Hub แต่ผลข้างเคียงที่สำคัญก็คือ ดึงบุคคลออกไปจากโรงพยาบาลของรัฐ กระทบบริการต่อคนจน เพิ่มความเหลื่อมล้ำ แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
แน่นอนว่า...ค่าบริการที่โรงพยาบาลเอกชนสูงมาก เพราะผู้ป่วยมีฐานะที่จะจ่ายได้ แต่มีผลกระทบหลายอย่าง เช่น ผู้มีฐานะก็หาทางไปสูบมาจากคนอื่น เพิ่มความเหลื่อมล้ำ บางคนหมดเนื้อหมดตัว เพราะป่วยเรื้อรัง ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายเป็นล้านๆ
...ใช้เทคโนโลยีราคาแพงอย่างให้ผลไม่คุ้มค่า เทคโนโลยีทางการแพทย์ราคาแพง ชิ้นหนึ่งๆหลายร้อยบาทก็มี แต่ก็ต้องแข่งกันมีที่ดีที่สุดและหาเงินมาถอนทุน ทำให้สั่งตรวจโดยไม่จำเป็น ทำให้ผู้ป่วยต้องจ่ายมากเกินควร และเงินไหลออกจากประเทศไปสู่บริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว...เป็นการเคลื่อนย้ายเงินจากคนส่วนใหญ่ไปสู่คนส่วนน้อย นั่นก็คือ แพทย์และโรงพยาบาลเอกชนและเจ้าของเทคโนโลยีการแพทย์ราคาแพง เพิ่มความเหลื่อมล้ำให้สูงขึ้นอีก อันเป็นราคาที่ประเทศต้องจ่ายมากเหลือหลาย
ปัญหามันซับซ้อนอย่างนี้ แล้วจะแก้อย่างไร?
สำหรับวิธีแก้ปัญหา ศ.นพ.ประเวศ บอกว่า ประการแรก...โรงพยาบาลของรัฐบริหารอย่างเอกชนเพื่อประชาชน กระทรวงสาธารณสุขมีโรงพยาบาลประมาณ 1,000 แห่ง คือ โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ และโรงพยาบาลในส่วนกลาง
เมื่อเปลี่ยนเป็นการบริหารแบบเอกชน ก็เท่ากับมีโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้น 1,000 แห่ง และอยู่ในฐานะจะแข่งขันได้ดีกว่าโรงพยาบาลที่เอกชนเป็นเจ้าของ เพราะต้นทุนถูกกว่า ทำให้ไม่ต้องคิดค่าบริการสูงเกินควร จะเป็นบรรทัดฐานให้โรงพยาบาลเอกชนลดราคาบริการลง
...
เคยทดสอบมาแล้วที่ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน) จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อการบริหารคล่องตัวแบบเอกชนปรากฏว่า มีแพทย์เพิ่ม ที่ลาออกจากโรงพยาบาลเอกชนก็มี สภาพการทำงานดีขึ้น สามารถให้บริการได้อย่างดี ประชาชนในอำเภอบ้านแพ้วเกือบไม่ต้องไปรับบริการที่อื่นเลย...
“พอใจโรงพยาบาลของเขามาก มาร่วมบริหารโรงพยาบาล หาทรัพยากรมาเพิ่มให้ฐานะการเงินดี สามารถจัดรถพยาบาลเคลื่อนที่ไปผ่าตัดต้อกระจกฟรีให้ประชาชนทั่วประเทศ
สามารถไปซื้อโรงพยาบาลพร้อมมิตรที่บางกะปิมาดำเนินการแบบโรงพยาบาลของรัฐที่บริหารแบบเอกชนเพื่อประชาชน ไม่ใช่เอากำไรไปให้ผู้ถือหุ้น”
อนึ่ง “โรงพยาบาลของรัฐ” ที่บริหารแบบเอกชนยังสามารถทำงานเป็นเครือข่ายและร่วมใช้เทคโนโลยีราคาแพง ทำให้ประหยัดเงินที่สูญเสียไปให้ต่างประเทศโดยไม่คุ้มค่า เพราะไม่ต้องแข่งกันทำกำไรให้ผู้ถือหุ้น เพราะรัฐเป็นเจ้าของกิจการ
...
ประการที่สอง...หน่วยพยาบาลในชุมชน 1 : 1,000 คือ ในชุมชนทั้งในชนบทและในเมือง ซึ่งรวมทั้งชุมชนแบบใหม่ๆ เช่น ชุมชนบ้านจัดสรรและชุมชนคอนโด ประมาณ 1,000 คน มีหน่วยพยาบาล 1 หน่วย มีกำลังบุคลากรหน่วยละ 3 คน คือ พยาบาล 1 คน ผู้ช่วยพยาบาล 2 คน
พยาบาลทั้ง 3 สามารถดูและคน 1,000 คน อย่างใกล้ชิดประดุจญาติ รู้จักกันเป็นส่วนตัวหมดทุกคน มีข้อมูลของทุกคนอยู่ในคอมพิวเตอร์ เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด ส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพดี ป้องกันโรค ให้การรักษาโรคที่พบบ่อย รวมทั้งควบคุมโรคความดันโลหิตสูง...โรคเบาหวานได้
ทุกคนทั่วประเทศ ลดภาวะโรคแทรกซ้อนได้อย่างมหาศาลสามารถติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลได้โดยระบบ “เทเลเมดีซีน” ถ้าจำเป็นต้องไปโรงพยาบาลก็จะจัดการติดต่อให้หรือพาไปและรับกลับมาดูแลต่อที่บ้าน รวมทั้งช่วยแนะนำการดูแลเด็กปฐมวัย... เยี่ยมผู้ชราถึงบ้าน
นี่แหละที่เรียกว่า บริการใกล้บ้าน ใกล้ใจ คนไทยทุกคนได้รับการบริการใกล้ชิดประดุจญาติ...ทำได้จริงและทำได้ทันที เพราะพยาบาลมีจำนวนมากกว่าบุคลากรประเภทอื่นทุกชนิดรวมกันคือมีประมาณ 200,000 คน และมีสถาบันการผลิต 100 แห่ง สามารถผลิตเพิ่มได้อีก
...
ผู้ช่วยพยาบาลใช้เวลาเรียน 1 ปี สามารถผลิตได้มากและมีประโยชน์มาก ผลคือคนไทยทุกคนได้รับบริการที่มีคุณภาพสูงใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล...โรงพยาบาลลดภาวะแออัดยัดเยียด สามารถให้บริการที่มีคุณภาพสูงนี้...สามารถควบคุมโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้ทั้งประเทศ
ลดภาวะโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ โรคไตวาย และโรคหลอดเลือดในสมอง...ผู้สูงอายุได้รับบริการที่ดีที่ใกล้บ้าน หรือถึงที่บ้านทั้งประเทศ ที่สำคัญ...ค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพโดยรวมจะลดลงอย่างมหาศาล ในขณะที่บริการสุขภาพทั่วถึง เป็นธรรม และคุณภาพสูงขึ้น แบบที่เรียกว่า “Good health at low cost”
ฉะนั้น “สปสช.” จึงควรจัดระบบการเงินสนับสนุนหน่วยพยาบาลในชุมชน ให้พยาบาล และผู้ช่วยพยาบาลได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเดือนทางราชการจะได้แฮปปี้เอ็นดิ้งกันทุกฝ่าย.