"กรมทะเลและชายฝั่ง" สั่งตรวจสอบกรณีโพสต์ขาย "ฉลามหนาม" กับ "ปลานกแก้ว" พร้อมวอนหยุดสนับสนุน การซื้อ-ขาย เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล

จากกรณีตามที่มีข่าวการซื้อขายฉลามหนาม Echinorhinus brucus ผ่านเพจเฟซบุ๊ก "แพปลาลุงนิล ภูเก็ต" ซึ่งจับได้จากบริเวณห่างฝั่งของเกาะราชาน้อยไปทางทิศใต้ 40 ไมล์ทะเล งานนี้ทำเอาคนในโซเชียลและสังคมนักอนุรักษ์ออกมาปกป้องพร้อมแสดงความเป็นห่วง เมื่อสัตว์ทะเลหายากถูกจับมาขาย แทนที่จะอวดความสวยงามอยู่ในท้องทะเล และสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ

ล่าสุด วันที่ 18 พ.ค. 2566 นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (รรท.อทช.) เผยว่า หลังจากทราบข่าวว่ามีการประกาศซื้อขายฉลามหนามในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ตนรู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมาก จึงมอบหมายให้สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 10 เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อมูล จากการประสานเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าชาวประมงได้มีการจับฉลามหนามในเขตทะเลที่ห่างฝั่งไป 40 ไมล์ทะเล จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งเชิงพื้นที่และชนิดพันธุ์ 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์ฉลามดังกล่าว กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้เร่งประชาสัมพันธ์ไปยังชาวประมง นักตกปลา นักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป หากท่านจับฉลามชนิดนี้ได้ ขอให้ปล่อยฉลาม และไม่ควรนำเนื้อฉลามหนามมาบริโภค เพราะอาจทำให้ได้รับสารพิษ ได้แก่ ปรอท แคดเมียม สารหนู ซึ่งหากร่างกายสะสมสารเหล่านี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทได้

...

สำหรับฉลามหนามนั้น จะหากินบริเวณพื้นทะเลน้ำลึก 400-900 เมตร แต่อาจพบเข้ามาหากินบริเวณน้ำตื้นเป็นครั้งคราว พบแพร่กระจายทั่วโลกในเขตร้อนถึงเขตอบอุ่น บริเวณลำตัวมีสีม่วงน้ำตาลหรือดำ ขนาดโตเต็มวัยยาว 3.1 เมตร ในระดับโลกพบประชากรฉลามชนิดนี้มีจำนวนลดลงจนใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง จึงจัดเป็นสัตว์ทะเลหายากที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ เป็นนักล่าสัตว์น้ำในอันดับต้นๆ จะกินสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ที่กินสัตว์น้ำขนาดเล็ก ซึ่งทำให้เกิดความสมดุลของความหลากหลายในระบบนิเวศในบริเวณนั้นๆ การมีอยู่ของฉลามจึงเป็นตัวบ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในบริเวณนั้น 

อย่างไรก็ดี กรมฯ พร้อมจะร่วมมือกับกรมประมงในการหาแนวทางการดำเนินงาน เพื่อการอนุรักษ์ฉลามหนาม พร้อมทั้งเร่งศึกษาสถานภาพของฉลามชนิดนี้ เพื่อเสนอเป็นสัตว์คุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ตลอดจนออกแบบมาตรการในการอนุรักษ์ในเชิงพื้นที่ โดยปัจจุบันกรมฯ อยู่ระหว่างการจัดทำพื้นที่คุ้มครองทางทะเล บริเวณไหล่ทวีปทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดภูเก็ตและอันดามันตอนบน ซึ่งหากแล้วเสร็จจะมีส่วนช่วยรักษาแหล่งที่อยู่อาศัยของฉลามหนาม และชนิดพันธุ์สัตว์น้ำที่หายากอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมาก 

ขณะเดียวกัน ได้มีการร้องเรียนจากประชาชนมายังเพจเฟซบุ๊กกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ว่าพบการจำหน่ายปลานกแก้ว บริเวณตลาดเงินวิจิตร แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ตนได้สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 8 ร่วมกับกองป้องกันและปราบปราม ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากการตรวจสอบในตลาด พบมีการจำหน่ายปลานกแก้ว จำนวน 5 ร้าน จึงได้เข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้าน และทำความเข้าใจเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ รณรงค์ร่วมกันไม่สนับสนุน ไม่ซื้อ ไม่รับประทานปลานกแก้ว เนื่องจากปลานกแก้วมีประโยชน์ในการสร้างสมดุลของระบบนิเวศแนวปะการัง 

สำหรับปลานกแก้ว เป็นปลาทะเลที่มีปากคล้ายนกแก้ว สีสันสวยงาม จึงมีผู้นิยมจับมาดูเล่นและนำมาเป็นอาหาร ทำให้ประชากรปลานกแก้วลดลง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมเสียสมดุล ปะการังตายมากขึ้น ฟื้นตัวช้า เพราะปลานกแก้วมีหน้าที่สำคัญคือการกินสาหร่ายที่มักขึ้นคลุมแนวปะการังหลังปะการังตายจากเหตุปะการังฟอกขาว ถ้าไม่มีปลานกแก้ว สาหร่ายจะขึ้นคลุมพื้นที่ ทำให้ตัวอ่อนปะการังไม่มีที่ลงเกาะ แล้วก็จะไม่มีปะการังตัวอ่อนมาทดแทนตัวเก่า จึงทำให้ปลานกแก้วเป็นสัตว์ทะเลที่ต้องอนุรักษ์ และมีการรณรงค์ให้หยุดกิน

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ยังไม่มีกฎหมายออกมาคุ้มครองฉลามหนามและปลานกแก้ว แต่สัตว์ทะเลทั้งสองชนิดนี้ ถือเป็นสัตว์ทะเลที่หายาก ควรคู่แก่การอนุรักษ์ หากจับมาขายหรือซื้อมาเพื่อรับประทาน อาจจะสร้างความเสียหายให้แก่ความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเล ดังนั้น ขอความร่วมมือจากชาวประมงที่ใช้เครื่องมือประมงต่างๆ โดยเฉพาะเรือตกเบ็ด หากตกได้ อยากให้ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติดังเดิม และประชาชนไม่ควรสนับสนุนการซื้อขายมารับประทาน.