ปัญหาร้อน “ค่าไฟฟ้าแพง” สร้างความเดือด ร้อนแบบที่เรียกว่า “แสนสาหัส” กับประชาชนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและ “รัฐบาลรักษาการณ์” เลือกวิธีขออนุญาต กกต. ใช้เงินจากงบประมาณแผ่นดินระหว่างการเลือกตั้งถึง 11,112 ล้านบาท มาช่วยลดค่าไฟเดือน พ.ค.-ส.ค.66
“สภาผู้บริโภค” เห็นว่า วิธีการข้างต้นเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่ทำให้ปัญหาที่แท้จริงได้รับการแก้ไข สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค ย้ำว่า การแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงที่ต้นตอ สภาผู้บริโภคได้ศึกษาและตรวจสอบข้อมูลแล้วพบเหตุแห่งปัญหาค่าไฟแพงที่สำคัญ ดังนี้
ข้อแรก...ค่าไฟแพงเพราะรัฐบาลวางแผนผลิตไฟฟ้าผิดพลาดเน้นความมั่นคงแบบสุดโต่ง เปิดช่องให้เกิดการอนุมัติสร้างและซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงจนเกินความต้องการ ปัญหานี้ต้องลากยาวไปถึงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2558-2579
หรือแผน “PDP 2015” ที่ไปกำหนดให้ประเทศมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองไม่ต่ำกว่า 15% ของความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด ขณะที่มาตรฐานสากลขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสมอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 10-15 ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุด
...
การที่แผน PDP 2015 กำหนดไฟฟ้าสำรองแบบกลับด้าน จึงกลายเป็นการขยายเพดานเปิดช่องให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันประเทศมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองถึง 50-60% แม้กระทรวงพลังงานจะชี้แจงว่า กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองจะต้องคิดจากกำลังผลิตไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงหรือพึ่งได้เท่านั้น
...ไม่ควรคิดจากกำลังผลิตตามสัญญาทั้งหมด แต่กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองตามวิธีที่กระทรวงพลังงานคิดก็ยังสูงถึงร้อยละ 30 เกินมาตรฐานสากลอยู่ดี
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จำนวน 13 โรง เกิดภาวะ “ว่างงาน” ไม่ได้ผลิตไฟฟ้า แต่ได้เงิน “ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า” ที่ กฟผ. ต้องจ่ายตามสัญญา “ไม่ใช้ก็ต้องจ่าย” หรือ “Take or Pay” ซึ่งในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 มี 2 โรงว่างงานได้ค่าความพร้อมจ่ายรวมเป็นเงิน 1,415 ล้านบาท
น่าสนใจว่าในช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค.2566 มีถึง 6 โรงไม่ต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเลยสักเดือน ได้ค่าความพร้อมจ่ายรวมเป็นเงิน 6,187 ล้านบาท? และยังมีหลายโรงไฟฟ้าแม้จะได้เดินเครื่องแต่ก็ไม่ได้เดินเครื่องเต็มกำลังผลิตประกอบกับเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาสูง ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าต่อหน่วยที่ซื้อก็สูงตาม
ที่ว่าสูงนั้นก็คือ “หน่วยละ 6-12 บาท” ซึ่งแน่นอนว่า...ค่าใช้จ่ายทั้งค่าความพร้อมจ่ายและค่าซื้อไฟฟ้าเหล่านี้ก็จะถูกนำมาอยู่ใน “ค่า Ft” ที่เรียกเก็บกับประชาชนนั่นเอง
ข้อสอง...ค่าไฟฟ้าแพงเพราะการจัดหาก๊าซธรรมชาติขาดประสิทธิภาพและการจัดสรรก๊าซไม่เป็นธรรม เหตุที่ต้องมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพิ่มขึ้น มี 2 สาเหตุสำคัญคือ หนึ่ง...ปัญหาการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณและแหล่งบงกชลดลงจาก 1,600 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 65 ของก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าเหลือเพียง 800 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน หรือหายไปครึ่งหนึ่งของที่เคยผลิตได้ในปี 2563
ปัญหานี้เกิดจากการเปลี่ยนผ่านของผู้รับสัญญาใหม่กับเก่าไม่เป็นไปตามแผนซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ถัดมา...ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยลดลงแต่รัฐบาลยังคงนโยบายจัดสรรก๊าซให้โรงแยกก๊าซของ ปตท. ไปผลิตวัตถุดิบตั้งต้นให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในเครือเป็นลำดับแรก
ก๊าซส่วนที่เหลือถึงจะผลิตเป็นก๊าซ LPG และเป็นเชื้อเพลิงสำหรับภาคผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง เมื่อเกิดปัญหาก๊าซในอ่าวไทยขาด...ก๊าซธรรมชาติที่ใช้ผลิตไฟฟ้าไม่พอ จึงมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาให้ใช้แทน แต่ทว่าก็...ไม่ได้ใช้ฟรีหรือมีราคาลด ต้องใช้ราคาตลาดโลก
...
เอาให้ชัดๆกันเลยว่า...เมื่อนำราคา LNG ที่มีราคาแพงมาอยู่ในราคา Pool Gas ของการผลิตไฟฟ้าจึงทำให้ราคา Pool Gas ของประเทศสูงขึ้นตามไปด้วยและถูกส่งผ่านมาอยู่ในค่า Ft ในท้ายที่สุด
ข้อสาม...ค่าไฟแพงเพราะสูตรการคิดค่า Ft ใช้หลักการไม่เป็นธรรมกับประชาชน?
“ค่า Ft” หรือ “ค่าไฟฟ้าผันแปรโดยอัตโนมัติ” ที่มีการปรับปรุงทุกๆ 4 เดือน หรือ 3 ครั้งต่อปี (มกราคม-เมษายน พฤษภาคม-สิงหาคม และกันยายน-ธันวาคม) ปัจจุบันคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ใช้สูตรคำนวณจากการพยากรณ์ความต้องการพลังงานไฟฟ้าและการประมาณการราคาเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชน เป็นการคาดการณ์ค่าเฉลี่ยล่วงหน้า 4 เดือน และเรียกเก็บเป็นค่าคงที่ตลอด 4 เดือน
ส่วนต่างระหว่างต้นทุนที่ใช้ผลิตไฟฟ้าจริงและค่า Ft ที่เรียกเก็บ จะถูกนำไปคิดเพิ่มหรือลดในค่า Ft รอบถัดไป...สูตรค่า Ft แบบนี้จึงไม่ได้คำนวณจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง จึงย่อมมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้
เช่น การคิดค่าเชื้อเพลิงในงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 คาดการณ์ว่าราคา LNG ตลาดโลกจะพุ่งขึ้นไปถึง 1,300-1,400 บาทต่อล้านบีทียู จากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 37 บาท/เหรียญสหรัฐฯ และคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะสูงถึง 90-100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
...
ขณะที่ความเป็นจริงราคา LNG หลังจากเดือน ก.ย.2565 ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 600 บาทต่อล้านบีทียูในเดือน มี.ค.2566 ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสแรกของปี 2566 เฉลี่ยอยู่เพียง 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในช่วง 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลเท่านั้น
การคาดการณ์ “ราคาค่าเชื้อเพลิง” ที่คลาดเคลื่อนสูงเกินจริงแบบนี้ กลายเป็นภาระค่า Ft ในรอบ 4 เดือนนั้นๆทันทีจะรอการลดทอนคืนก็ต้องรอการคิดคำนวณใหม่ในรอบ 4 เดือนถัดไป ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะได้ทอนคืนครบถ้วนหรือไม่ เพราะยังมีปัจจัยใหม่ๆที่ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างได้อีกในอนาคต
จากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเหล่านี้ “สภาผู้บริโภค” จึงมีข้อเสนอเพื่อการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงแบบที่ไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน คือ 1.ให้ กกพ. ทบทวนสูตรการปรับอัตราค่า Ft ให้คำนวณจาก “ค่าเชื้อเพลิง” และ “ค่าซื้อไฟฟ้า” ที่เกิดขึ้นจริงของ 4 เดือนที่ผ่านมาแทน
2.ให้กระทรวงพลังงานและ กกพ.ปรับโครงสร้าง ราคา Pool Gas ใหม่ โดยให้นำปริมาณก๊าซธรรมชาติที่เข้าสู่โรงแยกก๊าซธรรมชาติของ ปตท. และถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมารวมอยู่ในราคา Pool Gas ด้วย จะทำให้ราคา Pool Gas ลดลงได้ คาดว่า...จะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปีหรือลดค่าไฟฟ้าได้ 23-25 สตางค์ต่อหน่วย
...
3.ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการให้ ปตท. จัดสรรรายได้จากธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อเป็นส่วนลดราคาค่าก๊าซธรรมชาติให้กับ กฟผ.เพิ่มเติม ซึ่งจากการคำนวณส่วนต่างเบื้องต้นของมูลค่าก๊าซอีเทนที่ส่งให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีหลังหักค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนจากการประกอบกิจการโรงแยกก๊าซในระดับที่เหมาะสม เฉพาะในปี 2564 พบว่า อยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท จะช่วย ลดภาระหนี้ของ กฟผ. ได้รวดเร็วมากขึ้น
4.กระทรวงพลังงานต้องหยุดสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หยุดเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้ากับโรงไฟฟ้าใหม่ และควรเจรจาต่อรองปรับปรุงสัญญากับโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วเพื่อลดค่าซื้อไฟฟ้ารวมทั้งค่าความพร้อมจ่ายที่เกิดขึ้น
ข้อสุดท้าย 5.ให้ กกพ. ประกาศให้ประชาชนสามารถติดตั้ง “โซลาร์เซลล์” บนหลังคาบ้านได้ด้วยการยอมให้มิเตอร์หมุนคืนได้(แบบหักลบกลบหน่วย หรือ Net Metering)
เหล่านี้คือมาตรการที่ “รัฐบาลนี้”...“รัฐบาลหน้า” ควรดำเนินการโดยทันทีเมื่อมีอำนาจอยู่ในมือ เพื่อให้ค่าไฟฟ้าของประเทศลดลงต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย...ลดทุกข์เพิ่มสุขให้กับคนทั้งประเทศ.