แม้ว่า “ภาครัฐ” จะดำเนินนโยบาย “เรียนฟรี” และให้การสนับสนุนนักเรียนที่มาจากครัวเรือนยากจนอย่างต่อเนื่อง กระนั้นในแต่ละปียังคงมีนักเรียนบางส่วนที่จำเป็นต้องตัดสินใจออกจากการศึกษาภาคบังคับกลางคัน

พบว่า 1 ใน 5 ของเด็กไทยเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา เพราะความยากจนในระดับรุนแรงหรือประมาณ 2.5 ล้านคน เฉพาะปี 2565 สถิติชี้ว่ามีนักเรียนยากจนพิเศษ 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีประมาณ 900,000 กว่าคน น่าสนใจว่านักเรียนกลุ่มนี้มาจากครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยที่ 1,044 บาทต่อคนต่อเดือน

...หรือเพียงวันละ 34 บาทต่อคนต่อวัน

สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 และการชะลอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน

ข้อเสนอนโยบายสาธารณะเร่งด่วน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา โดยมุ่งนโยบายที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ข้อหนึ่ง...ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีหลักประกันทางการศึกษาให้แก่เยาวชนทุกคนอย่างไร้รอยต่อ

...

เชื่อมฐานข้อมูลเด็กและเยาวชน 2.5 ล้านคน และส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้รับสวัสดิการครอบคลุมทุกมิติและการสนับสนุนการศึกษาสูงสุดเต็มศักยภาพ ไม่มีใครตกหล่น และควรเพิ่มเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขให้เด็กเยาวชนในครัวเรือนใต้เส้นความยากจน (2,762 บาทต่อคน/ครัวเรือน) ทุกคน

ครอบคลุมทุกการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกช่วงชั้น ทุกรูปแบบการเรียนรู้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงและคงอยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งงบเรียนฟรี 15 ปี...ยังไม่ครอบคลุม

การขยายสวัสดิการเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนให้ครอบคลุมนักเรียนระดับอนุบาลและมัธยมศึกษาตอนปลาย สายอาชีพและเทียบเท่าในทุกสังกัดการศึกษา และทุกรูปแบบการเรียนรู้ เช่น ศูนย์การเรียน บ้านเรียน วิทยาลัยการอาชีพ...เทคนิค

นับรวมไปถึงการปรับอัตราให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของค่าครองชีพทางการศึกษาซึ่งไม่ได้ปรับมา 14 ปีแล้ว เพื่อพยุงกำลังซื้อให้ผู้ปกครองยังคงมีกำลังส่งบุตรหลานให้ยังคงเรียนหนังสือ และเพิ่มศักยภาพของการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนแบบมุ่งเป้า

ด้วยการใช้ EdTech ติดตามเงื่อนไขการคงอยู่ในระบบการศึกษาไม่ให้ต่ำกว่าร้อยละ 80-85 พัฒนาการสมวัยรอบด้าน และระบบส่งต่อความช่วยเหลือจากโรงเรียนถึงทุกหน่วยงาน

ข้อสอง...ระบบการศึกษาที่ทุกคนมีทางเลือก ตอบโจทย์ชีวิต หรือ Alternative Education

ข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า ระบบการศึกษาไม่เข้ากับเด็กขาดแคลนทางเลือก ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายได้ เป็นสาเหตุสำคัญของการผลักดันให้เด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษาและระบบสังคม

โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในครัวเรือนยากจน ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบางทางสังคมและปัญหาเฉพาะ เช่น เด็กและเยาวชนที่อยู่ใน กระบวนการยุติธรรม กลุ่มตั้งครรภ์ในวัยเรียน กลุ่มที่มีความต้องการพิเศษ

“รัฐ” ควรกระจายอำนาจในการจัดการศึกษาสนับสนุนให้เกิดหน่วยจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเสมอภาค ตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันรายบุคคล มีความยืดหยุ่นทั้งเวลารูปแบบ และเงื่อนไขในการเข้ารับบริการทางด้านการศึกษา

...

สามารถเรียนแล้วได้วุฒิ ได้งาน ได้เงิน ได้ทักษะชีวิต ทักษะ การทำงานในโลกยุคใหม่

ตัวอย่างนวัตกรรม เช่น โรงเรียน 3 ระบบ, 1 ตำบล 1 ศูนย์เรียนรู้ ชุมชน, หลักสูตรอาชีพระยะสั้น Upskill & reskill, โรงเรียนมือถือ, ศูนย์การเรียน

โดยมีระบบเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่น เช่น ธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติ (National CreditBank) เป็นกลไกที่ช่วยให้การเรียนรู้ทุกรูปแบบสามารถเทียบโอนหน่วยกิต เชื่อมต่อกันได้ทั้งระบบในทุกระดับ ทำให้การศึกษาตลอดชีวิตเกิดขึ้นได้จริง

ขณะเดียวกันระบบสวัสดิการต้องครอบคลุมทุกรูปแบบการจัดการศึกษาด้วย

ข้อสาม...กระจายอำนาจด้วย Hub การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระดับจังหวัดหรือท้องถิ่น จัดทำนโยบายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของพื้นที่ และเชื่อมโยงความร่วมมือทุกมิติ รวมถึงจัดตั้งกองทุนลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและพัฒนากำลังคนระดับจังหวัดหรือท้องถิ่น

สามารถพัฒนานวัตกรรมการเงินและการคลัง เพื่อระดมทรัพยากรและบริหารงบประมาณภายในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

...

ดร.ไกรยส ภัทราวาท
ดร.ไกรยส ภัทราวาท

ทุกวันนี้ “ประเทศไทย” ได้ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์แล้ว อัตราเด็กเกิดใหม่น้อยลงกว่าเดิมมาก ไทยจึงเป็นประเทศที่ไม่สามารถปล่อยให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาได้แม้แต่คนเดียว

นโยบายที่จะนำไปสู่ทางออกจากปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่ยั่งยืนนั้น จึงต้องเป็นมากกว่าความช่วยเหลือในการให้เงิน อุดหนุนและทุนให้เปล่า แต่ต้องส่งเสริมการเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ผ่านระบบการศึกษาที่ทุกคนมีทางเลือก ตอบโจทย์ชีวิต สามารถพึ่งพาตัวเองได้

การออกแบบนโยบายเช่นนี้จะไม่เพียงพาเด็กและเยาวชน จำนวน 2.5 ล้านคน จากครัวเรือนยากจน 20% ท้ายของประเทศ...ก้าวออกจากวงจรความยากจนข้ามรุ่น

ยังส่งผลต่อระบบการศึกษาที่ตอบโจทย์ชีวิต เด็ก เยาวชนทั้งประเทศและประเทศไทยสามารถก้าวออกจากกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จภายในช่วงชีวิตของพวกเราทุกคน

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ย้ำว่าทั้งหมดข้างต้นเหล่านี้คือข้อค้นพบตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในการทำงานของ กสศ.ร่วมกับเครือข่าย

...

มุ่งเน้น “ทำความเข้าใจ” ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อแรงจูงใจและความสามารถในการ “เข้าถึงการศึกษา” ของเด็ก เยาวชน และครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น

ตอกย้ำผลการศึกษาในอดีตทั้งในและต่างประเทศที่ชี้ว่า “รายได้ของครัวเรือน” นักเรียนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการออกกลางคัน ภาวะความยากจนในระดับรุนแรงบวกกับกับดักความคิดว่า ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงอนาคตให้ดีขึ้นกว่าเดิม มีมุมมองอาชีพที่จำกัด

แน่นอนว่าปัจจัยที่ว่านี้...มีผลต่อการตัดสินใจออกจากระบบการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ต้องเข้าสู่ตลาดแรงงานในฐานะแรงงานด้อยทักษะและมีลูกหลานที่ถูกผลิตซ้ำเส้นทางชีวิตตกอยู่ในวงจรความยากจนข้ามรุ่น

บรรยากาศเลือกตั้งกำลังระอุร้อน...มีพรรคการเมืองไหนบ้างไหมที่เน้นนโยบายสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ชูหลักประกันโอกาสการศึกษา 20 ปีไร้รอยต่อ...ระบบการศึกษาหลายทางเลือกตอบโจทย์ชีวิต กระจายอำนาจให้เกิดการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทุกหัวระแหง.