วันที่ 2 มี.ค. 66 เวลา 10.30 น. ที่ลานอเนกประสงค์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และนายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทยและบรรณาธิการบริหาร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “36 พรรษา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” โดยมี นายสมคิด จันมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทยด้านบริหาร นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง คณะผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายธีระพันธ์ วรรณรัตน์ ศิลปินแห่งชาติ ดร.ศรินดา จามรมาน ที่ปรึกษาโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก คุณศิริชัย ทหรานนท์ จากแบรนด์ Theater นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิรวรรณ เพ็ญพาส นางวรสุดา รัตนสุคนธ์ นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางสาวปาณิสรา กาญจนะจิตรา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหาร ผู้แทนกรมและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย และสื่อมวลชน ร่วมในงาน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้เป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของพวกเราชาวมหาดไทยและเป็นความภาคภูมิใจของการเป็นข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าราชการผู้สนองงานที่ได้รับพระกรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอันหาที่สุดมิได้ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ผู้ทรงมีพระหฤทัยที่แน่วแน่ในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชนนีพันปีหลวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดให้กระทรวงมหาดไทย ได้มีโอกาสที่ดีของชีวิตในการขับเคลื่อนสิ่งดีๆ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ ทรงทำให้พี่น้องช่างทอผ้าที่คุ้นชินกับการถักทอรูปแบบลวดลายโบราณสืบทอดมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการถักทอให้มีลวดลายที่ปรับขนาด หลากสีสัน กลับด้าน สลับลาย กลายเป็นผืนผ้าไทยที่มีความทันสมัย สอดคล้องกับแฟชั่นสมัยนิยม สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค และทรงเป็นผู้นำในการส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ ด้วยการพระราชทานแนวพระดำริให้ใช้สีธรรมชาติย้อมผ้าแทนการใช้สีเคมี และปรับพื้นที่ภายในบริเวณบ้านเรือน บริเวณกลุ่ม บริเวณคุ้มบ้าน ให้ได้มีการเพาะปลูกพืชพันธุ์ไม้ให้สี เพื่อใช้ในการย้อมผ้า ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทำให้สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่เพื่อสร้างความยั่งยืน ประการต่อมา ทรงเป็นโค้ชในการพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ ช่างทอผ้า และการส่งเสริมด้านการตลาด โดยพระราชทานโครงการพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เพื่อทำให้เกิดกระแสนิยมในหมู่คนไทยหันมาสวมใส่ผ้าไทยในทุกโอกาส ทุกกิจวัตรประจำวัน ซึ่งเหตุการณ์สำคัญหนึ่งที่ยังคงประทับใจและสถิตอยู่ในดวงใจชาวมหาดไทยทุกคน คือ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 พระองค์เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงาน OTOP CITY พร้อมทั้งพระราชทานแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี” ที่ทรงคิดค้นออกแบบมาพระราชทานให้พวกเรา โดยพระองค์ได้อรรถาอธิบายว่าผ้าไทยเป็นมรดกตกทอดของคนไทยมาตั้งแต่อดีต ซึ่งที่ผ่านมาเราอนุรักษ์ลายผ้าเดิมที่เป็นเอกลักษณ์เดิมๆ ประกอบการออกแบบการตัดเย็บผ้าไทยที่ไม่เหมาะสมกับคนยุคใหม่ที่สะสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้ ทำให้ที่ผ่านมาผ้าไทยยังคงไม่ได้รับความนิยมเพียงพอ ด้วยพระวิริยะ พระอัจฉริยภาพในด้านดีไซเนอร์ของพระองค์ท่าน จึงทรงมีพระดำริที่จะทำให้ผ้าไทยเป็นแฟชั่นได้ต้องมีลายผ้าที่มีความทันสมัย มีสีสันสดใสสวยงาม เหมาะสมตามยุคตามฤดูกาล และเยาวชนคนรุ่นใหม่สามารถสวมใส่ได้ในทุกเพศทุกวัยและทุกโอกาสอย่างทันสมัยอยู่เสมอ
"ด้วยทรงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนส่งเสริมผ้าไทยโดยทำให้พี่น้องประชาชนทอผ้าเพื่อส่งเข้าแข่งขันในจัดนิทรรศการประกวดผ้าไทย ผลักดันให้เกิดการแข่งขันลายผ้าระดับประเทศ นอกจากนี้ พระองค์ได้ทรงมีพระดำริเชื้อเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย ร่วมเป็นคณะทำงาน “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ลงพื้นที่ไปให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ สร้างความรู้ ความชำนาญ และที่สำคัญคือการทำให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรม อย่างเช่นที่บ้านดอนกอย อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ในอดีตนั้นสมาชิกของกลุ่ม นำโดยแม่ถวิล อุปรี ซึ่งมีอาชีพทำไร่ทำนา และประกอบอาชีพทำผ้าย้อมครามเป็นอาชีพเสริม เคยมีรายได้คนละ 700 บาทต่อเดือน โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากที่ลูกหลานไปรับจ้างรายวัน ในส่วนของคนเฒ่าคนแก่มีอาชีพทอผ้า เมื่อพระองค์เสด็จไปพระราชทานพระดำริ ทรงแนะนำให้ปรับเปลี่ยนลายผ้าประกอบกับย้อมผ้าให้มีความหลากสี ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีแนวทาง มีไอเดียในการทอผ้า นำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพจนถึงปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยกรมพัฒนาชุมชนก็น้อมนำพระดำริมาขับเคลื่อนจนทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ภายในระยะเวลา 6 เดือน ชาวดอนกอย มีรายเพิ่มขึ้นถึงคนละ 15,000 บาทต่อเดือน ประชาชนลืมตาอ้าปาก นำไปสู่การมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนได้ด้วยพระกรุณาธิคุณ ควบคู่กันนั้นพระองค์ได้มีพระดำริ "หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)" พระราชทานพระอนุญาตให้กระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อน โดยทรงเน้นย้ำว่า เราทุกคนจะต้องช่วยกันรักษาโลก ด้วยการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การทอผ้า ย้อมผ้า ให้ใช้สีธรรมชาติ ต้องไม่ใช้สีเคมี ซึ่งมีแกนหลัก คือ ให้คนไทยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมและการพึ่งพาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ปลูกฝ้าย ปลูกไม้ที่ให้สี ตลอดจนการบริหารจัดการขยะครัวเรือน จัดทำ “ถังขยะเปียกลดโลกร้อน” การปลูกพืชผักในครัวเรือน “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ มีความปลอดภัย รู้จักแบ่งปัน และมีความมั่นคงทางอาหาร ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเพื่อให้เกิดความยั่งยืนได้ต้องมีการถ่ายทอดความรู้สู่ลูกหลาน เด็กและเยาชนต้องมีส่วนร่วมในภูมิปัญญาผ้าไทย" โดยกระทรวงมหาดไทยได้น้อมนำพระดำริของพระองค์สู่การจัดทำโครงการเฉลิมพระเกียรติ “ศูนย์การเรียนรู้ 36 พรรษา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่ได้ผ่านการเจียระไนเพื่อบรรจุเรื่องราวต่างๆ ในอาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ณ บ้านดอนกอย ที่เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ทั่วประเทศขับเคลื่อนหมู่บ้านยั่งยืนไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะบ้านครัวเรือนยากไร้ใน 7,255 หมู่บ้านทั่วประทศ ในจำนวน 878 อำเภอ ทั้ง 76 จังหวัด ช่วยกันทำให้คนไทยมีความสุขอย่างยั่งยืน
"ด้วยพระกรุณาธิคุณ พระอัจฉริยภาพ พระวิสัยทัศน์ที่ล้วนแล้วแต่เป็นการต่อยอดลมหายใจ ฟื้นคืนชีวิตผืนผ้าไทย และแนวพระดำริที่ทำให้เกิดการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย กระทรวงมหาดไทย น้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ จึงได้จัดทำหนังสือ “36 พรรษา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา” เพื่อเฉลิมพระกียรติพระองค์ท่าน ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะได้รับพระอนุญาตและเป็นคอลเลกชันภาพพิเศษของพระองค์ และอันเป็นการถวายพระกำลังใจให้พระองค์ผู้ทรงตรากตรำทรงงานหนักให้พสกนิกรชาวไทยและทรงเป็นผู้นำพระราชทานแนวพระดำริขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ซึ่งจะได้ขยายผลเผยแผ่สายธารแห่งพระบารมีผ่านหนังสือฉบับนี้ส่งผ่านท่านเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ และสื่อมวลชน รวมถึงห้องสมุดทั่วประเทศ เพื่อจะได้ชื่นชมพระบารมีและพระอัจริยภาพของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ท้ายสุดนี้ ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญสถิตในดวงใจอยู่คู่กับเราคนไทยบนผืนแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองนี้ตลอดกาลนาน
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระกรุณาธิคุณ และเป็นความโชคดีมีวาสนาที่ได้เกิดมาในแผ่นดินไทยที่เรามีพระมหากษัตตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ไม่เคยทอดทิ้งพสกนิกรไทย เพราะตั้งแต่เกิดมาเราได้เห็นพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงงานในทุกหนแห่ง เพื่อให้การช่วยเหลือพี่น้องประชนตลอดกว่า 70 ปี ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงพลิกฟื้นผืนผ้าไทยที่หายไปกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินไทยอีกครั้ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอด ถ่ายทอดถึงสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ได้น้อมนำสิ่งเหล่านั้นมาทำให้ผ้าไทย ทำให้กี่ทอผ้า ได้มีชีวิตอีกครั้ง ด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ จนท้ายที่สุด ประชาชนที่เคยยากแค้นลำบากขัดสน ได้มีชีวิตใหม่ที่งดงามและยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น ช่างทอผ้าท่านหนึ่งของบ้านคำประมง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จากที่เป็นหนี้เป็นสินมาหลายสิบปี ด้วยพระกรุณาธิคุณ ที่พระราชทานแนวพระดำริ และตนได้นำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ก็ทำให้หมดหนี้หมดสิน ได้เปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่ให้มีรายได้ มีอาชีพ มีเงินให้ลูกไปเรียนหนังสือ ทำให้ผู้เป็นแม่มีความภาคภูมิใจและตื้นตันใจที่ได้ทำหน้าที่แม่อย่างสมบูรณ์ ซึ่งพระกรุณาธิคุณอันล้นเกล้าล้นกระหม่อมนี้ หากจะพูดพรรณนา หรือบรรยาย ณ ที่แห่งไหน ก็ไม่สามารถใช้เวลาหรือสถานที่ใดบรรยายหรือพรรณนาได้อย่างครบถ้วน เพราะพระองค์ทรงมีพระกรุณาธิคุณมากมายอย่างอเนกอนันต์ ทรงทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน และสถิตในใจของพวกเราตลอดไป
นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ กล่าวว่า หนังสือเฉลิมพระเกียรติฯ เล่มนี้ เป็นการริเริ่มโดย ท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ที่มีความคิดที่จะรวบรวมแนวทางพระดำริ หลักการทรงงาน และพระกรุณาธิคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพลิกฟื้นให้ผ้าไทยได้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประกอบอาชีพเพื่อดำรงชีวิตให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมายุครบ 3 รอบ 36 พรรษาวันที่ 8 มกราคม 2566 ซึ่งจะเป็นหนังสือที่เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า เป็น Hall of Fame เพื่อถวายต่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยพระองค์ทรงรับออกแบบ และเรียบเรียงพระรูป รวมถึงรายละเอียดเนื้อหา ด้วยพระอัจฉริยภาพด้านการออกแบบ ทรงคัดแยกฉลองพระองค์กลางวันและกลางคืน พระองค์ท่านทรงใส่ใจทุกรายละเอียด เพราะอยากทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่แสดงให้เห็นถึงคำว่า "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" จนทำให้เกิดผลความสำเร็จในปัจจุบัน โดยหนังสือเล่มนี้ ทุกท่านจะได้ชื่นชมพระบารมี ชื่นชมความสวยงาม และพระกรณียกิจน้อยใหญ่ของพระองค์ โดยต้องขอขอบคุณท่านสุทธิพงษ์ จุลเจริญ และท่านวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ รวมถึงคณะผู้จัดทำหนังสือเล่มนี้ ที่ทำให้เกิดหนังสืออันทรงคุณค่าที่จะถ่ายทอดสิ่งดีๆ ไปสู่คนไทยและคนรุ่นต่อไปอย่างสมบูรณ์