ชื่อเรื่องที่จะเขียนวันนี้ ใจจริง ผมอยากตั้งเรียกความสนใจ “ศิลาจารึกพระเจ้าช้างเผือก”

แต่ที่ตั้ง “ศิลาจารึกอยุธยา” เพราะรู้เหมือนคนอื่นรู้ว่า ในดินแดนที่เรียกว่าไทย...เรามีศิลาจารึกสุโขทัย หรือเรียกศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง อยู่แห่งเดียว

ลพบุรีเมืองลูกหลวงของเขมร ต่อด้วยอู่ทอง ถึงอยุธยา ไม่เคยพบศิลาจารึก เจอแต่สุวรรณจารึก หรือจารึกในแผ่นทอง และเรื่องก็ผิดขนบไทย ศิลาจารึกทั่วไปจารึกแต่เรื่องดีๆ แต่ “ศิลาจารึกอยุธยา” จารึกเรื่องเลว

ผมขอยกบุญคุณในการค้นพบเรื่องนี้ให้ โรม บุนนาค พี่โรมเป็นนักค้นคว้าเรื่องเก่ามาเล่าใหม่แถวหน้า

ใน “หนังสือรักในมุมลับแห่งสยาม (สำนักพิมพ์สยามบันทึก พ.ศ.2554” ผมอ่านเรื่องปริศนารักเจ้าจอมทับทิม สมัย ร.4 จบ แล้วอ่านเรื่อง ความลับของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทน์ ต่อ

เจอเรื่องศิลาจารึก...เรื่องที่อ่านแล้วต้องร้อง อื้อฮือ! เรื่องพรรค์นี้ก็มี อยู่ตอนท้าย

เนื้อหาในศิลาจารึก กล่าวถึงชาติกำเนิดเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทน์ พ่อแม่เป็นชาวบ้าน หมู่บ้านนาเกลือ ปากน้ำเจ้าพระยา ตำบลสาขลา แขวงเมืองพระประแดง ชื่อบัวผัน

เมื่อ “ตกฟาก” เกิดแผ่นดินไหว ต่อมาไฟไหม้หมู่บ้าน 50 หลังวอด อายุ 1 เดือนตอนโกนผมไฟ ฟ้าผ่าลงต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน โค่นล้มมาทับบ้าน ต้องไปปลูกกระท่อมอยู่

ในสารพัดเรื่องร้าย...ก็ยังมีเรื่องที่ดูเหมือนดี

สำนวนศิลาจารึกว่า “ครั้นบัวผันอายุ 3 เดือน นอนอยู่ในเมาะ มีแมลงผึ้ง แมลงวัน แมลงชันโรง มารุมตอมโยนี พ่อแม่ต้องให้นอนในมุ้ง พ่อแม่สงสัยลองดมโยนี กลิ่นคล้ายดอกพิกุลแก้ว” โตขึ้น นอนไม่ระวัง แมลงก็ยังตามมาตอม

...

ยามร้องไห้เสียงเหมือนแตรสังข์ กลิ่นตัวเหมือนกลิ่นดอกชำมะนาด ตอนมีเหงื่อ กลิ่นหอมเหมือนข้าวใหม่...รวมความ ทั้งร่างกายไม่ว่าในที่ลับในที่แจ้ง บัวผันไม่เหมือนใคร เรื่องราวนี้เล่าลือไปทั้งตำบล

กำนันรายงานเจ้าเมือง เจ้าเมืองรายงานเสนาบดี...ที่สุด ก็นำความขึ้นกราบบังคมทูล สมเด็จพระอัครมเหสี (สมเด็จพระไชยราชาธิราช) ทรงเมตตา รับเลี้ยงไว้ในฐานะบุตรบุญธรรม

ตอนอายุ 9-10 ขวบ ผัวบันแก้ผ้าเล่นน้ำฝน สมเด็จพระไชยราชาทรงเห็น พระอัครมเหสีก็ถวายเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิด จนอายุ 15 ปี โปรดฯให้ยกขึ้นเป็นเจ้าจอม

พระราชทานชื่อตามผิวเนื้อละเอียดนวลเหมือนสีผลจันทน์สุก ทั้งกลิ่นกายก็หอมรัญจวนใจว่า “นางศรีจันทน์”

เรื่องราวต่อไป ถึงตอนเป็นเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทน์ ทรงยกพันบุตรศรีเทพ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนาม ขุนวรศาธิราชได้แค่ 42 วัน พวกเรารู้ๆกันอยู่มากแล้ว...ต่อเรื่องนี้ ด้วยเนื้อหาในศิลาจารึกว่า

“ครั้งนั้น ไม่ช้าเสนาบดีผู้ใหญ่ แลข้าราชการ พร้อมกันจับพระเจ้าแผ่นดินใหม่ ฆ่าเสียทั้งสองพระองค์ เอาศพไปทิ้งไว้ที่วัดกะไดอิฐ คลองพะเนียด ให้แร้งกินเนื้อประจานความชั่วร้าย...”

พระเจ้าช้างเผือก พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ รับสั่งให้จารึกเรื่องนี้ลงในแผ่นศิลา ติดไว้ที่ฐานพระเจดีย์แดง วัดกะไดอิฐ แผ่นศิลาจารึกนี้ยังอยู่จนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัย ร.3

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ ซึ่งเล่าลือกันว่าทรงมีพระนิสัยสัปดนแบบ “เล่นเพื่อน” ทรงนำแผ่นศิลานี้ไปจากวัดเขาบันไดอิฐ อยุธยา นำไปไว้ที่พระเจดีย์สามองค์ในวัดพระเชตุพน

พ.ศ.2391 กรมหลวงรักษ์รณเรศ ต้องโทษกบฏประหารชีวิต ร.3 รับสั่ง“แผ่นหินนั้นเป็นเรื่องอุบาทว์ คนเอามาก็อุบาทว์ ให้เอาไปทิ้งน้ำ ถ่วงศพ “หม่อมไกรสร” ลงด้วยกัน”

ก่อนแผ่นหินจมน้ำ...กรมหลวงวรศักดาพิศาล ได้คัดลอกเรื่องราวในศิลาจารึกไว้ แล้วนำไปถวายกรมหมื่นนุชิตชิโนรส วัดโพธิ์ เรื่องลึกๆอันเป็นความลับของเจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทน์

จึงเปิดเผยมาให้คนรุ่นหลังอย่างเราๆได้รู้กัน ด้วยประการฉะนี้แล!

กิเลน ประลองเชิง