“ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” แฉซ้ำยังมีการเรียกรับเงินในกรมอุทยานฯอยู่ มีหลักฐานพร้อมเปิดเผย ให้เป็นข่าวใหญ่ หลังเดินทางเข้าแจ้งความเอาผิดตาม ม.157 และ ม.200 กับปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตในโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติเพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อนในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน รวมทั้งแจ้งเอาผิดกับคณะ กรรมการ ป.ป.ท. 12 คน ตรวจสอบคดีเผาไล่ที่กะเหรี่ยง บ้านบางกลอย จ.เพชรบุรี ด้าน “จตุพร บุรุษพัฒน์” ปลัด ทส. ยืนยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย สามารถนำหลักฐานมาชี้แจงเพิ่มได้
ที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 7 ก.พ. นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. แจ้งความดำเนินคดีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมคณะ กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ พร้อมแจ้งเอาผิดคณะกรรมการ ป.ป.ท. 12 คน ที่เคยชี้มูลความผิดในคดีเผาบ้านชาวกะเหรี่ยงและคดีการหายตัวของบิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ
นายชัยวัฒน์เปิดเผยว่า มาแจ้งความ 2 คดี คดีแรกแจ้งความเอาผิดปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในความผิดตาม ป.อาญา ม.157 และ ป.อาญา ม.200 วรรค 2 กลั่นแกล้งให้ผู้อื่นต้อง รับโทษทางอาญา จากกรณีที่นายชัยวัฒน์ถูกร้องเรียนกล่าวหาว่าทุจริตโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติเพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อนในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน โดยกล่าวหาไม่มีการปลูกป่าจริง เรื่องนี้กระทรวงทรัพยากรฯ เคยตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไปแล้ว ระหว่างนั้นไม่ได้แสวงหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ไม่รับฟังพยานหลักฐาน หรือคำชี้แจงใดๆ และไม่ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบแปลงที่ปลูกป่า กระทั่งตนออกมาเปิดโปงการเรียกรับสินบนของอดีตอธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำให้เรื่องการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งและทราบว่าจะมีการชี้มูลความผิดในเร็ววัน ตนจึงมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อเอาผิดคณะกรรมการดังกล่าว ส่วนกรณีนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ฟ้องตนและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด อ้างเป็น การจัดฉากและกลั่นแกล้งให้ได้รับโทษนั้น ไม่รู้สึกกังวลเพราะมีพยานหลักฐานยืนยัน ทั้งหมดเป็นการเรียกรับสินบนจริง
...
นายชัยวัฒน์กล่าวต่ออีกว่า คดีที่ 2 เป็นการ แจ้งความดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการ ป.ป.ท. ในความผิดตาม ป.อาญา ม.157 และ ป.อาญา ม.200 วรรค 2 กลั่นแกล้งให้บุคคลอื่นได้รับโทษทางอาญา รวมทั้งหมด 12 คน ประกอบด้วยประธานและ คณะกรรมการ จากกรณีที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดในคดีเผาไล่ที่กะเหรี่ยงบ้านบางกลอย จ.เพชรบุรี และคดีการหายตัวของบิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ จนตนถูกให้ออกจากราชการ มองว่าการชี้มูลของคณะกรรมการดังกล่าว ไม่แสวงหาข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนรอบด้านจนเป็นเหตุให้ตนได้รับความเสียหายต่อตำแหน่งขณะที่รับราชการ ภายหลังศาลจังหวัดเพชรบุรีมีคำสั่งคุ้มครองจนได้กลับเข้ามารับราชการอีกครั้ง ตนต้องมาแจ้งความเอาผิดคณะกรรมการชุดนี้
“การที่ผมออกมาตีแผ่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเรียกรับสินบนในกรมอุทยานฯ เป็นสิ่งที่ดีแต่ทำไมผู้บริหารต้องเดือดร้อนในเรื่องนี้ ต้องถามว่าเดือดร้อนเรื่องอะไร ผมทราบว่าปัจจุบันยังมีการเรียกรับเงิน ในกรมอุทยานฯ อยู่ มีหลักฐานพร้อมที่จะเปิดเผยต่อ สื่อมวลชนในภายหลัง กลางเดือน ก.พ. ผมจะออกมา เคลื่อนไหวอีกครั้ง เป็นข่าวใหญ่ที่สังคมต้องได้รับรู้ ผมพร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาการรับสินบนในองค์กรอย่างจริงจัง” นายชัยวัฒน์กล่าว
อีกด้าน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยถึงการสืบสวนข้อเท็จจริงในโครงการปลูกป่าเพื่อลดปัญหาอุทกภัยและภาวะโลกร้อนในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน ว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงมาตั้งแต่ก่อนปี 61 และส่งเรื่องต่อมาให้ ทส.ดำเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงต่อในช่วงปี 61 เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหา คือ นายชัยวัฒน์ถูกเลื่อนขั้นมาดำรงตำแหน่งในระดับ อำนวยการระดับสูง อยู่ในอำนาจของกระทรวงฯ ทั้งหมด มีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการฯ มาแล้ว 4 ครั้ง เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการบางคนเกษียณอายุราชการ
“สำหรับกรณีที่นายชัยวัฒน์เกรงไม่ได้รับความเป็นธรรมในการสืบสวนข้อเท็จจริงต่อกรณีนี้นั้น หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติม สามารถนำมาชี้แจงต่อ คณะกรรมการฯ เพิ่มเติมได้ เพื่อให้ผลการสืบสวนข้อเท็จ จริงในกรณีนี้เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย” นายจตุพรกล่าว