ชูวิทย์ตีปี๊บเปิดตัว “สกาย” หนุ่มสิงคโปร์ พยานคดีตำรวจห้วยขวางยัดบุหรี่ไฟฟ้าเรียกเงินดาราสาวไต้หวัน แถลงย้อนคืนถูกไถ ยันจ่าย 27,000 บาทจริง เหตุถูกข่มขู่บังคับ ไม่ได้เสนอให้ และไม่รู้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าในเมืองไทยผิดกฎหมาย เพราะเห็นขายและใช้กันเกร่อ ย้ำเพื่อนสาวไต้หวันถูกจัดฉาก ตำรวจยื่นบุหรี่ไฟฟ้าให้ถือและถ่ายรูป ขณะที่โฆษก ตร.แจง ผกก.สน.ห้วยขวาง ถูกย้ายไปอยู่หนองจอก แต่ยังต้องช่วยราชการ ศปก.บช.น. ส่วนที่พัทยาฉาวซ้ำ “ด.ต. จราจร” จับบุหรี่ไฟฟ้ารีดนักท่องเที่ยวจีน 6 หมื่น ผู้การชลฯ สั่งย้ายด่วนพร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เจ้าตัวรายงานชี้แจงปัดไถ ขณะที่เฟซบุ๊กงานจราจรโพสต์ภาพ เป็นตำรวจน้ำดีช่วยเหลือ นทท.
กรณี น.ส.อัน หยู ฉิง หรือชาร์ลีน อัน นักแสดงสาวไต้หวัน ถูกตำรวจไทยยัดบุหรี่ไฟฟ้าเรียกเงิน 2.7หมื่นบาทแลกกับการไม่ดำเนินคดี เหตุเกิดหน้าสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ช่วงแรก กองบัญชาการตำรวจนครบาลออกมาตอบโต้อ้างผลสอบโชเฟอร์แท็กซี่ 2 คนว่าผู้เสียหายเมามากและไม่เห็นตำรวจเรียกรับเงิน ทำให้นักแสดงสาวโพสต์โต้ระบุว่าตำรวจไทยโกหก ขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์ขย่มมีพยานชาวสิงคโปร์ เป็นเพื่อนดาราสาวยืนยันว่าจ่ายเงินจริง และเตรียมนำมาเผยต่อสื่อมวลชน สุดท้าย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ลงมาคุมคดีเอง มีคำสั่งให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ย้าย พ.ต.อ.ยงยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง เข้ากรุ ศปก.บก.น.1 หลังพบว่ามีความบกพร่อง ก่อนมีคำสั่งย้ายไปเป็น ผกก.สน.หนองจอก รวมทั้งสั่งตำรวจสายตรวจ สน.ห้วยขวาง ผลัดเกิดเหตุ 14 นายหยุดปฏิบัติหน้าที่ในจำนวนนั้น 7 นาย ยศระหว่าง ร.ต.อ.-ส.ต.อ.ถูกเด้งเข้า ศปก.บก.น.1 พร้อมทั้งแจ้งข้อหาตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ รวมทั้งอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเรียกรับทรัพย์สินฯตามมาตรา 149
...
“ชูวิทย์” เผยพยานสิงคโปร์ถึงไทยแล้ว
ความคืบหน้าในการตามล่าหาความจริงในคดีนี้ เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 1 ก.พ.ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง เปิดเผยว่า วันนี้พยานชาวสิงคโปร์ที่เป็นคนจ่ายเงินให้ตำรวจตั้งด่านในคืนวันเกิดเหตุเพราะถูกตำรวจขู่เข็ญ รีดไถ และไม่ใช่การให้สินบน พยานก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ เขารู้สึกกลัวไม่ปลอดภัย แต่ตนขอร้องให้เดินทางมาประเทศไทย และเป็นคนจ่ายค่าเดินทางทั้งหมด โดยตนจะไม่พูดและให้พยานชาวสิงคโปร์พูดเอง แต่มีกติกาสื่อมวลชนต้องซักถามตอนแถลงข่าวเท่านั้นเพราะเขากลัวความปลอดภัย จะเริ่มแถลงข่าวเวลา 14.00 น. ที่โรงแรมเดอะเดวิส คอนเนอร์วิง สุขุมวิท
“เสี่ยจอมแฉ” ตีปี๊บโหมโรง
ต่อมาเวลา 14.00 น. ที่เดอะล็อบบี้ โรงแรมเดวิส ซ.สุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จัดแถลงข่าวตามนัดหมายกับสื่อมวลชน ก่อนการแถลง นายชูวิทย์ได้เดินตีปี๊บ พร้อมระบุว่า จะนำปี๊บดังกล่าวไปฝากให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.คลุมศรีษะไว้ เพื่อซ่อนจากข้อเท็จจริงที่จะเปิดเผย
เปิดภาพนาที “ยัด” อัน หยู ฉิง
นายชูวิทย์กล่าวว่า การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ทำเป็นขบวนการ จัดสรรแบ่งส่วนให้ผู้ที่ปฏิบัติงาน การตั้งด่านนี้ทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว ยิ่งเฉพาะในช่วงนี้ที่เพิ่งเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้งหลังสถานการณ์โควิด-19 แทนที่นักท่องเที่ยวจะกลัวโจรผู้ร้าย กลับต้องมากลัวตำรวจที่ควรจะดูแลความปลอดภัยของพวกเขา ทั้งนี้นายชูวิทย์เปิดภาพที่ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้าใส่มือ อัน หยู ฉิง พร้อมกล่าวว่าเป็นความจริงที่อัน หยู ฉิง ใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่วันที่เกิดเรื่องเธอไม่ได้นำบุหรี่ไฟฟ้ามา
กระแทก ตร.ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัด
นายชูวิทย์กล่าวต่อว่า ถ้าถึงวันนี้ตำรวจต้องการจะคืนเงิน 27,000 บาทให้กลุ่มผู้เสียหาย เชื่อว่าเขาจะไม่รับแล้ว เพราะทั้งหมดไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งที่ผ่านมายังถูกเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายมาตลอด เปรียบตำรวจไม่ดีเป็นนิ้วร้ายที่ต้องตัดทิ้ง เชื่อว่าวันนี้ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว
พยานย้อนเหตุการณ์คืนค้น
...
ต่อมาเวลา 14.20 น. นายชูวิทย์ได้เชิญ นายสกาย อายุ 32 ปี ชาวสิงคโปร์ เพื่อน น.ส.อันหยู ฉิง มาแถลงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยนายสกาย กล่าวด้วยภาษาไทยว่า ถ้าไม่ไว้ใจนายชูวิทย์คงไม่เดินทางมา วันที่เกิดเรื่องตนกับกลุ่มเพื่อนรวมทั้ง อัน หยู ฉิง ไปงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม ระหว่างกลับโรงแรมที่พักบริเวณถนนรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่านใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแท็กซี่ที่นั่ง จากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำด่านให้รถจอดเข้าข้างทางให้ทุกคน ในรถลงมาและค้นตามตัว ค้นกระเป๋า ให้นำเอกสารหนังสือเดินทางออกมาแสดง รวมทั้งให้ถอดรองเท้า ซึ่งในวันดังกล่าว ตนไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก
ตำรวจเจอบุหรี่ไฟฟ้า 3 ตัว
นายสกายกล่าวต่อว่า จากการตรวจตามตัว เจ้าหน้าที่พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน และถามต่อว่ามาจากประเทศไหน ตอนนั้นเริ่มสงสัยแล้วทำไมตำรวจทำเป็นเรื่องใหญ่ สั่งห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร หรือถ่ายรูป มีเพียงตนที่พูดไทยได้ นอกนั้นในกลุ่มพูดไม่ได้ เจ้าหน้าที่พูดขึ้นว่า อย่ากวนตีน ระหว่างที่ถามถึงเหตุผลทำไมถึงต้องตรวจมากมาย เพราะตนและเพื่อนไม่ได้ทำผิดกฎหมายแน่นอน พร้อมอธิบายว่า ตามปกติ การเข้าประเทศไทยของคนสิงคโปร์ไม่ต้องมีวีซ่า ยกเว้นกรณีอยู่อาศัยเกินกว่า 10 กว่าวันขึ้นไป ตนเดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่และอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 5 ม.ค.เป็นวันที่กำหนดกลับ
ไม่รู้ผิด ก.ม.เห็นขาย-ใช้เกร่อ
นายสกายกล่าวอีกว่า ส่วนหนังสือเดินทางที่เจ้าหน้าที่พยายามเรียกดู ได้ตอบไปว่าเอกสารต่างๆ อยู่ที่ที่พัก ถ้าจะตรวจขอเวลากลับไปนำมาแสดง ตอนนี้มีเพียงรูปถ่ายพาสปอร์ต แต่เจ้าหน้าที่ไม่ฟังและพยายามแย้งว่าต้องแสดงเอกสารทันที ต้องเป็นตัวจริง ห้ามไปไหน และแจ้งว่าการพกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด ได้ตอบไปว่า ตนและเพื่อนไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย พร้อมถามกลับว่าถ้าผิดกฎหมายจริง ทำไมถึงมีขายได้ทั่วไป เพราะบุหรี่ไฟฟ้าที่ตำรวจยึด ซื้อมาจากตลาดที่ห้วยขวางเทอร์เรซและเห็นคนไทยใช้ตามปกติอยู่ ไม่มีใครบอกว่าผิด
...
ขู่ติดคุก–ก่อนเจรจาเรียกเงิน
หนุ่มสิงคโปร์กล่าวอีกว่า เมื่ออธิบายเสร็จ เจ้าหน้าที่เริ่มมีท่าทีโมโห บอกว่าทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจ ต้องติดคุกอย่างน้อยอีก 2 วัน แม้จะแย้งไปว่าถึงกำหนดเดินทางกลับแล้ว เมื่อเจรจาได้ระยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่พาไปหาเจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจและแจกแจงให้ฟังว่า บุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาท ส่วนที่ไม่พบพาสปอร์ตอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท
จัดฉากถ่ายรูปอัน หยู ฉิง ถือบุหรี่ไฟฟ้า
พยานหนุ่มเพื่อน น.ส.อัน หยู ฉิง แฉต่อว่า ตำรวจที่มาพูดคุยเรื่องเงินมี 3 นาย นายแรกไม่ได้สวมเครื่องแบบ สวมแจ็กเกตดำ มีหนวดเครา ทำหน้าที่เรียกและรับเงินเก็บเข้ากระเป๋าตนเอง นายที่ 2 รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้อง นายที่ 3 รูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้าเข้ามาร่วมรับฟังด้วย หลังจากนั้นมีเจ้าหน้าที่นายหนึ่งยื่นบุหรี่ไฟฟ้ามาให้อัน หยู ฉิง ถือพร้อมถ่ายภาพ ตอนนั้นทั้งกลุ่มเครียดมาก ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน อยากออกจากจุดนั้นเร็วๆ รวมถึงอยากออกจากประเทศไทย ไม่อยากอยู่ต่อเพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก ตอนที่จะให้เงิน ตำรวจพาเดินไปที่มุมหนึ่งของด่าน ให้ตนนับเงินแล้วยื่นเงินให้เจ้าหน้าที่เรียกแท็กซี่ให้และให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ
ยันไม่ได้เสนอให้แต่ถูกบังคับ
นายสกายกล่าวอีกว่า ยืนยันว่าไม่ได้เมาเหมือนที่มีคนออกมาพูด พยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าอยากจับต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ตำรวจไม่มีเหตุผล บอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว สำหรับเงินที่จ่ายไปยืนยันว่าตำรวจกลุ่มนั้นแสดงท่าที พูดจาบีบบังคับให้จ่ายเงิน ตนไม่ได้เสนอให้ ทั้งนี้เงิน 30,000 บาท ที่จ่ายไปตั้งใจจะซื้อของฝากให้ครอบครัว สุดท้ายไม่ได้ซื้อเพราะตำรวจเหลือเงินให้ติดตัว 3,000 บาท
...
“สกาย” พยักหน้ารับ-เห็นภาพ 2 ตร.
ขณะเดียวกันนายชูวิทย์ ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพ ของตำรวจ สน.ห้วยขวาง มาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้สกายดู 2 รูปภาพ แล้วถามว่า จดจำใครได้บ้าง นายสกายดูรูปภาพตำรวจ 2 นายแล้วพยักหน้า
จบแถลงโฆษก ตร.ขอพบทันที
กระทั่งเวลา 15.30 น. นายสกายแถลงเสร็จสิ้น พร้อมกับ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.และ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น. 1 ที่มาร่วมสังเกตการณ์ในการแถลงข่าวและการสอบปากคำวันนี้ โดย พล.ต.ต.อาชยนกล่าวว่า ขอเวลาขึ้นไปพบกับนายสกาย พยานสำคัญก่อน วันนี้ได้ให้คณะกรรมการและทีมพนักงานสอบสวน 4-5 นาย เข้ามาร่วมสอบปากคำพยานอย่างละเอียดและครอบคลุมทุกประเด็น
ชูวิทย์ขย่ม-รายได้ด่าน บช.น.324 ล./ด.
หลังแถลงข่าวร่วมกับนายสกายเสร็จสิ้น นายชูวิทย์ยังเปิดเผยถึงขบวนการด่านรีดไถ ระบุว่า ที่เกิดขึ้นในยุคของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.คนปัจจุบัน ระบบของด่านรีดไถไม่ใช่ว่าตำรวจรีดไถเงินจากประชาชนหรือนักท่องเที่ยวแล้ว เงินจะเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่รีดไถเพื่อนำเงินลงกองกลางส่งนายคือ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ด่านจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกด่านของนครบาล 88 สถานีตำรวจ ต้องส่ง บช.น.ตั้งเป้าเอาไว้ให้รีดไถให้ได้ สน.ละ 1 แสนบาทต่อวัน หรือ 3 ล้านบาทต่อ 1 เดือน พื้นที่นครบาลมีทั้งหมด 88 สถานีตำรวจ จะมีเงินที่ส่งให้ บช.น.ทั้งหมดเดือนละ 264 ล้านบาท
เฉพาะ 20 ด่าน จร.กลางเดือนละ 60 ล.
ส่วนที่ 2 คือด่านของตำรวจจราจรกลาง ที่มี วันละ 20 ด่าน แต่ละวันต้องรีดไถเงินให้ได้ 1 แสนบาท คิดเป็นวันละ 2 ล้านบาท ดังนั้น จะมีเงินที่ส่งให้บช.น.เดือนละ 60 ล้านบาท รวม 2 ส่วน จะมีเงินที่ส่งให้เดือนละ 324 ล้านบาท ขบวนการด่านรีดไถที่เกิดขึ้นเนื่องจากบ่อนต้องปิด ทำให้ต้องหารายได้จากการตั้งด่านมาทดแทน อัตราการเรียกรับผลประโยชน์ หรืออัตราการรีดไถจะแตกต่างไปตามกรณีการกระทำความผิดต่างๆ อาทิ ปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนด เรียกรับ 3 หมื่นบาท ตรวจพบปัสสาวะม่วง เรียกรับ 1 แสนบาท ตรวจพบยาเสพติดเรียกรับ 3-5 แสนบาท บุหรี่ไฟฟ้า เรียกรับ 3 หมื่นบาท ขอฝากให้นายกรัฐมนตรีลงมาจัดการเรื่องนี้ อย่าให้มีด่านรีดไถ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ถ้ายังไม่ทำจะเปิดโปงต่อไปเรื่อยๆ
ถือเป็นพยานสำคัญในคดี
ต่อมา พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.กล่าวหลังไปสังเกตการณ์การสอบปากคำนายสกาย เกือบ 3 ชั่วโมง ว่า นายสกายได้ให้ข้อมูลในฐานะพยาน ข้อมูลที่ได้รับถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน ได้สอบถามและบันทึกถ้อยคำทั้งหมดแล้ว มีการชี้ตัวบุคคลที่อยู่ในด่าน แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ว่า มีตำรวจกี่นาย หรือเป็นตำรวจชุดที่มีคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจ นครบาล 1 หรือไม่ ต้องตรวจสอบกับพยานหลักฐานที่ตำรวจมี จึงจะสามารถแจ้งข้อหาเรียกรับผลประโยชน์กับตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ คาดว่า 1-2 วันนี้คดีน่าจะชัดเจนได้ ส่วนกรณีที่กล่าวถึงชายไม่สวมเครื่องแบบตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยว ตรวจค้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยังอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบ ส่วนการพิจารณาว่าจะดำเนินคดีกับนายสกายข้อหาจ่ายสินบนหรือไม่ต้องให้คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาให้ชัดเจน เพราะจะมีผลต่อสถานะของนายสกายว่าจะเป็นพยานหรือฐานะอื่น ทั้งนี้นายสกายถือเป็นพยานคนสำคัญเพราะเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่สื่อสารกับตำรวจโดยตรงและเป็นเจ้าของเงิน 27,000 บาท ที่ตำรวจเรียกไป และยังเป็นคนเดียวในกลุ่มที่สื่อสาร ฟังและพูดภาษาไทยได้ดี
โฆษก ตร.แจงย้าย ผกก.ยิ่งยศ
ก่อนหน้านี้ ช่วงสายวันเดียวกัน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.เปิดเผยถึงการย้าย ผกก.สน.ห้วยขวาง ว่า เดิม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.มีคำสั่งด่วนให้ ผบช.น.สั่งการให้ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง มาช่วยราชการที่ ศปก.บช.น เป็นการลงโทษทางปกครองไปก่อนในฐานะที่เป็นหัวหน้าสถานี ไม่สามารถควบคุมกำกับดูแลผู้ใต้บังคับ บัญชาในสังกัด ต่อมาถึงช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี กองบัญชาการตำรวจนครบาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรปรับย้ายข้าราชการตำรวจ เพื่อให้การรวบรวมพยานหลักฐานกรณีมีตำรวจใน สน.ห้วยขวาง บางรายบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่และน่าสงสัยว่ากระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา ตรงความเป็นจริงและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เสนอเปลี่ยนแปลงการแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง 2 ราย มายัง ตร. ต่อมา ตร.มีคำสั่งที่ 72/2566 ลงวันที่ 30 ม.ค.66 ให้ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง เป็น ผกก.สน.หนองจอก ให้ พ.ต.อ.สุกฤต มังคละสวัสดิ์ ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ เป็น ผกก.สน.ห้วยขวาง แทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.66 เป็นต้นไป
แต่ยังให้ช่วย ศปก.ตามเดิม
โฆษก ตร.กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม คำสั่งให้ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ช่วยราชการที่ ศปก.บช.น ยังอยู่ ยังให้มาช่วยราชการตามเดิม เพื่อเปิดทางให้คณะกรรมการสอบสวนเรื่องการเรียกรับเงินนักท่องเที่ยวไต้หวัน ทำงานอย่างเต็มที่ รวดเร็ว เป็นอิสระ ตรงความเป็นจริง เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่ายไม่ให้มีข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน การลงโทษ พ.ต.อ.ยิ่งยศ ส่วนนี้เป็นการลงโทษทางปกครอง แต่หากผลการสอบสวนของคณะกรรมการออกมาว่ามีความผิดเพิ่มเติม จะดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไปอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกำชับไปยังคณะกรรมการสอบสวนว่า หากพยานหลักฐานสาวถึงใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ก็ตาม ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดทุกราย ทั้งการ ดำเนินคดีอาญา วินัย และปกครอง เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
โฉ่ซ้ำ ด.ต.พัทยารีดทรัพย์ นทท.จีน
บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นของแสลงตำรวจอีก เมื่อมีข่าวฉาวซ้ำวงการสีกากี กรณีสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทยออกมาแฉพฤติกรรมดาบตำรวจนายหนึ่งของ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รีดเงินนักท่องเที่ยวชาวจีน ขณะพกพาบุหรี่ไฟฟ้าในราคา 60,000 บาท แต่ต่อรองเหลือ 30,000 บาท มีคลิปภาพถ่ายเกิดเหตุอย่างชัดเจน
คลิปชัดเรียกคุยข้างโรงพัก
สำหรับภาพจากล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ที่ สภ.เมืองพัทยา ปรากฏภาพช่วงเกิดเหตุระบุวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 18.26 น. ตำรวจจราจรกวดขันวินัยการจราจรหน้าโรงพัก มีนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวจีน 2 คน ขี่รถ จยย. ผ่าน ด.ต.นพกฤษฎิ์เรียกตรวจค้น จากนั้นให้ขี่มาจอดด้านข้างโรงพัก ยืนคุยกันอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะปล่อยตัวนักท่องเที่ยวทั้ง 2 คน โดยคลิปดังกล่าวเห็นหน้า ด.ต.นพกฤษฎิ์ชัดเจน
ผู้การชลฯสั่งย้ายทันควัน
ต่อมาช่วงค่ำ พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ภ.จ.ชลบุรี มีหนังสือสั่งการด่วนที่สุดให้ ผกก.สภ.เมืองพัทยาตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นทราบว่า บุคคลที่ปรากฏตามภาพข่าวคือ ด.ต.นพกฤษฎิ์ พรวัฒนธนกิตติ์ ผบ.หมู่งานจราจร สภ.เมืองพัทยา โดย ผกก.สภ.เมืองพัทยารายงานเพิ่มเติมว่า ตรวจสอบเบื้องต้นน่าเชื่อว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงตามที่ปรากฏในข่าว เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีมีคำสั่งที่ 34/2566 ลงวันที่ 31 ม.ค.66 ให้ ด.ต.นพกฤษฎิ์ พรวัฒนธนกิตติ์ ไปปฏิบัติราชการ ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี โดยขาด จากการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งเดิมและมีคำสั่งที่ 35/2566 ลงวันที่ 31 มกราคม 2566 แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดจะรายงานให้ทราบในคราวต่อไป
กรณีดังกล่าว พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผบก.ภ.จ.ชลบุรี สั่งการให้คณะกรรมการสืบสวน ข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งกล้องวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุและพยานบุคคลอื่นๆ เพื่อให้ได้รายละเอียดพฤติการณ์นำไปสู่การดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดและเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยวเมืองพัทยา
ปปท.รุดสอบนายดาบฉาว
ต่อมาเวลา 08.00 น. วันที่ 1 ก.พ. นางวิจิตรา จำนันจ์สิริ ผอ.สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเขต 2 (ป.ป.ท.) พร้อมคณะเดินทางไปที่ สภ.เมืองพัทยา เพื่อติดตามแนวทางการสอบสวนข้อเท็จจริง มี พ.ต.อ.ฐนพงศ์ โพธิ์ทิ ผกก.สภ.เมืองพัทยา เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเป็นวันแรกและพนักงานสอบสวนมาให้ข้อมูล จากนั้นเรียก ด.ต.นพกฤษฎิ์ พรวัฒนธนกิตติ์ ผู้ถูกกล่าวหามาสอบสวนในเบื้องต้น
เสนอตามลำดับชั้นรายงาน “ตู่”
นางวิจิตราเผยว่า รับมอบหมายจากนายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. สั่งการให้ลงพื้นที่มาดูแนวทางการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนถูกตำรวจเรียกเงินค่าปรับบุหรี่ไฟฟ้า เบื้องต้นจะรับฟังว่าตำรวจมีแนวทางการทำงานในรูปแบบใดและแนะนำเพิ่มเติมในสิ่งที่ตำรวจจะต้องทำในการสอบสวน เพื่อให้เกิดความกระจ่างมากขึ้นแล้วจะนำเรื่องทั้งหมดส่งให้เลขาธิการ ป.ป.ท.เพื่อรายงานนายก รัฐมนตรีต่อไป
เจ้าตัวพร้อมให้สอบข้อเท็จจริง
ด้าน พ.ต.อ.ฐนพงศ์ โพธิ์ทิ ผกก.สภ.เมืองพัทยา กล่าวว่า มีคำสั่งให้ ด.ต.นพกฤษฎิ์ ไปช่วยงานที่ ศปก.แล้ว โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ส่วนแนวทางการสอบสวนข้อเท็จจริง ผบก.ภ.จ.ชลบุรีตั้งชุดคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ส่วนกรณี ป.ป.ท.ลงพื้นที่มาติดตามการทำงานของตำรวจจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะที่ ด.ต.นพกฤษฎิ์ พรวัฒนธนกิตติ์ เปิดเผยว่า ยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ และไม่ได้รับเงินจากนักท่องเที่ยวตามที่ถูกกล่าวหาพร้อมให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ผ่านมาตั้งใจทำงานมาโดยตลอด
เฟซงานจราจรโพสต์สวน-ชื่นชม
วันเดียวกัน เฟซบุ๊กบัญชีชื่อ “งานจราจร สภ.เมืองพัทยา” โพสต์ชื่นชม ด.ต.นพกฤษฎิ์ พรวัฒนธนกิตติ์ ครั้งที่ยังปฏิบัติหน้าที่ ผบ.หมู่งาน จราจร ถึง 2 ครั้ง เรื่องแรกวันที่ 3 ก.ค.65 สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยว ลืมกระเป๋าเดินทางไว้ในรถแท็กซี่ เจ้าตัวประสานและติดตามจนนำกระเป๋าเดินทางส่งคืนนักท่องเที่ยวได้อย่างครบถ้วน ต่อมาวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา ด.ต.นพกฤษฎิ์พบกระเป๋าเงินตกที่บริเวณชายหาดพัทยา แล้วส่งคืนเจ้าของเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภายในกระเป๋ามีเงินสดจำนวนหนึ่ง และเอกสารสำคัญต่างๆ เหตุดังกล่าวต่างได้รับความชื่นชมจากประชาชนและข้าราชการตำรวจด้วยกัน