ถึงเวลาความแตกต่างคนต่างหูตาแหกเอาตัวรอด!ตัวอย่างให้เห็นเป็นข่าวฉาวตอนนี้คือ กรณีตำรวจกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (191) และ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ร่วมกันตีตังค์แก๊งพาสปอร์ตปลอมข้ามชาติ!

ถึงเหตุจะเกิดในบ้านเช่าของอดีตกงสุลนาอูรูประเทศไทย แต่ขอยืนยันไม่เกี่ยวกับสถานกงสุล เพราะเป็นคนแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ เพราะมีแต่คนจีนเข้าออกบ้านผิดปกติ?

การเข้าตรวจค้นตำรวจเป็นคนขอหมายจากศาล แต่ชุดที่ร่วมเข้าตรวจค้นเป็นชุดผสมตำรวจ 191 ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติอีกคน

หลังเข้าบ้านพบชาวจีน 2 คน คนงานทั้งไทย จีน เมียนมา 6 คน และเงินสดประมาณ 8 ล้านบาท

ประเด็นสำคัญทำให้มีเรื่องคือ หนึ่งในคนจีนคือ นายเหมา เติ้ง เผิง ผู้ต้องหาตามหมายแดงตำรวจสากล เพราะเกี่ยวข้องกับแก๊งปลอมพาสปอร์ตสัญชาติหมู่เกาะมาแชลและประเทศนาอูรู

นี่แหละตัวปัญหาทำให้เกิดการเรียกรับเงินเพื่อปล่อยตัว!

หลังได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ส่งชุดสืบสวนตรวจสอบละเอียดยิบพบว่า...

ชุดจับกุมเรียกรับผลประโยชน์แลกการปล่อยตัวนายเหมา เติ้ง เผิง โดยให้ล่ามเป็นคนไปรับเงินจากชาวจีนพรรคพวกผู้ต้องหา บริเวณปั๊มน้ำมันใกล้บ้านเกิดเหตุจำนวน 4 ล้านบาท!

แต่ยังเนียนบันทึกตรวจยึดเงินสด 2.5 ล้านบาทส่งพร้อม น.ส.เซี่ยง หยาง ผู้ดูแลบ้าน ให้พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ดำเนินการตามกฎหมาย กรณีไม่พกพาหนังสือเดินทาง

เป็นที่มาของการออกหมายจับตำรวจ 191 จำนวน 9 นาย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 5 นาย ทหาร 1 นาย และล่ามภาษาจีนอีก 1 คน!

งานนี้ไม่ต้องเถียงกันว่า ใครเป็นคนต้นเรื่องชวนกันเข้าตรวจค้น

...

เพราะสุดท้ายก็ร่วมกันตีตังค์ผู้ต้องหาเอาเงินเข้ากระเป๋า มันผิดพอๆกันนั่นแหละ?

สหบาท