"ทิพานัน" เผยภาพรวม BCG นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ในประเด็นการแก้โลกร้อน ไทยคืบหน้าแล้ว 30% ยกกระแสรถ EV-พลังงานทดแทน-อุตฯ ไบโอพลาสติก ขยายตัวเร็ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2565 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการแก้ปัญหาโลกร้อน ส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีให้คนรุ่นถัดไป ไทยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ 20-25% หรือ 111-139 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2573
ดังนั้น แม้การประชุมเอเปก 2022 จะผ่านพ้นไป แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนผลักดันเป้าหมายกรุงเทพฯ คือแนวการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ไปสู่การปฏิบัติอย่างเข้มข้น ดังนั้น นายสุพัฒนพงศ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมตระหนักถึงความสำคัญของแนวทาง BCG ที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยประยุกต์แนวทาง BCG มาใช้ตั้งแต่ระดับบุคคลในชีวิตประจำวัน ต่อยอดไปสู่ชุมชน และอุตสาหกรรมใหญ่
ขณะนี้ ภาพรวมของการพัฒนา BCG ในประเทศไทย มีความคืบหน้าไปกว่า 30% แล้ว ในระยะต่อไป 70% ที่เหลือคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการขยายผลไปอย่างกว้างขวาง โดยจะเห็นได้จากการประยุกต์ใช้แนวทาง BCG ในครัวเรือน มีการแยกขยะ ทำโรงเรือนปลูกผัก การทำปุ๋ยจากเศษอาหาร ไปจนถึงเปลี่ยนพืชพันธุ์เกษตรเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECI โรงกลั่นชีวภาพ ที่สามารถแยกสารต่างๆ ออกจากผลิตภัณฑ์การเกษตรต่างๆ สร้างมูลค่าเพิ่มนำไปต่อยอดได้
โดยปัจจุบันมีบางโรงงานพลาสติกชีวภาพ หรือไบโอพลาสติกในเมืองไทยเกิดขึ้นแล้ว หากสำเร็จโดยพร้อมเพรียงกันจะใหญ่ที่สุดในโลก โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ไทยเป็นรายแรกๆ ของโลก ที่เอาโซลาร์เซลล์ไปวางบนแผ่นน้ำ ไม่ต้องเปลืองที่ดิน ที่เห็นผลทันทีคือ กระแสตื่นตัวซื้อยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV และการลงทุนจากผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งรถขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ ที่เป็นรถไฟฟ้า
จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลยกประเด็น BCG เป็นเป้าหมายกรุงเทพฯ ในการประชุมเอเปก 2022 เพื่อให้สินค้า BCG เป็นสินค้าที่ไร้พรมแดน สามารถขายได้ทุกประเทศ โดยที่ไม่มีข้อต่อรองทางการค้ามากจนเกินไป
...
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าแนวทาง BCG ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว มีความก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยที่หลายฝ่ายอาจไม่ทันรู้ตัวถึงความเปลี่ยนแปลง สะท้อนความสำเร็จของรัฐบาลได้พลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไปสู่วิถีใหม่ ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ เพื่ออนาคตที่ดีของคนรุ่นถัดไปควบคู่ไปกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่ดีขึ้นทุกระดับ.