"วราวุธ" รมว.ทส. หารือคณะผู้แทนไทย เตรียมพร้อมสู่ การประชุมระดับสูง COP27 ช่วงสัปดาห์ที่ 2 ที่อียิปต์ โดยเฉพาะประเด็นที่มีผลกระทบกับประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม COP27 พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมประชุมหารือกับคณะผู้แทนไทย เพื่อรับทราบความก้าวหน้าสรุปผลการประชุมองค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ (Subsidiary bodies) ในช่วงสัปดาห์ที่ 1 ของการประชุม COP27 ซึ่งจะนำไปสู่ประเด็นหารือในการประชุมระดับสูงของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 (COP27) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 17 (CMP17) และการประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ 4 (CMA4) ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ที่เมืองชาร์ม เอล ชีค สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์

โดย นายวราวุธ รมว.ทส. ได้เน้นย้ำให้คณะผู้แทนไทยติดตามประเด็นต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นที่มีผลกระทบกับประเทศไทย รวมถึงการสนับสนุนเงินในรูปแบบต่างๆ ที่จะเชื่อมโยงกับการดำเนินงานของประเทศไทยต่อไปในอนาคต

...

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่องค์กรย่อยภายใต้กรอบอนุสัญญาฯ ได้มีการเจรจาอย่างเข้มข้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่

  • ด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) : การกำหนดแผนงานที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนการยกระดับเป้าหมายและการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีความท้าทายมากยิ่งขึ้นจากการประชุม COP26
  • ด้านการปรับตัว (Adaptation) : การกำหนดแผนงานในการจัดทำเป้าหมายและตัวชี้วัดระดับโลกด้านการปรับตัวฯ (Global Goal on Adaptation) ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake) ที่จะเริ่มดำเนินการในปี ค.ศ. 2023 เพื่อบ่งชี้สถานการณ์การลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวฯ เทียบกับเป้าหมายของความตกลงปารีส
  • ด้านการสูญเสียและความเสียหาย (Loss and damage) : มุ่งเน้นการจัดตั้งโครงสร้างองค์กรเชิงเทคนิคและกลไกสนับสนุนเงินในรูปแบบของกองทุนเฉพาะ เพื่อสนับสนุนประเทศที่ได้รับผลกระทบและที่มีความเสี่ยงและเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน
  • ด้านการเงิน (Climate finance) : เร่งรัดติดตามการระดมเงินทุน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ให้กับประเทศกำลังพัฒนาให้ได้ภายในปี ค.ศ. 2025 และเตรียมการยกระดับเงินสนับสนุนของกองทุนพหุภาคีที่คาดการณ์ได้และเพียงพอเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถดำเนินการตามพันธกรณีได้