เรื่องราวที่เคยเป็นข่าวฮือฮา โรงเรียนจัดอาหารกลางวันให้เด็กนักเรียนอนุบาลเป็นขนมจีนคลุกน้ำปลา กลับมาเป็นข่าวพาดหัวอีกครั้ง เมื่อศาลพิพากษาจำคุกนายสมเชาว์ สิทธิเชนทร์ อดีต ผอ.โรงเรียนบ้านท่าใหม่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 385 ปี เพราะแม้จะทุจริตเงินไม่มาก แต่ยืดเยื้อยาวนาน

คำพิพากษาศาลคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 8 ระบุว่า จำเลยถูกอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้อง ความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 151 จำเลยกระทำกรรมเดียว แต่กระทำผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 151 ที่มีโทษหนักที่สุด เป็นการกระทำความผิด 77 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมเป็น 385 ปี

แต่จำเลยรับสารภาพ เป็นประโยชน์ ในการพิจารณา จึงลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวมเป็น 192 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี แม้การกระทำผิดคิดเป็นเงินไม่มากนัก แต่กระทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้นักเรียนไม่ได้รับอาหารกลางวันที่มีคุณภาพและจำนวนที่เพียงพอ

คำพิพากษาของศาล เป็นการสอนบทเรียนให้แก่ข้าราชการผู้มีอำนาจในการใช้จ่ายงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน จะต้องไม่ฉวยโอกาสใช้อำนาจหน้าที่เพื่อเบียดบังเอาผลประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งระบาดแพร่หลายในสังคมไทย ในปีหนึ่งๆ รัฐต้องเสียหายหลายแสนล้านบาท จากการจัดซื้อจัดจ้าง

นักวิชาการผู้ศึกษาการทุจริตและประพฤติมิชอบในประเทศไทย ระบุว่า มีการสมคบคิดระหว่าง “สามประสานกินเมือง” ระหว่างนักการเมือง ข้าราชการและนักธุรกิจ ลามไปถึงวงการคณะสงฆ์ ชัดเจนที่สุดคือคดีที่เรียกว่า “ทุจริตเงินทอนวัด” จากการสมคบคิดระหว่างข้าราชการ กับพระภิกษุระดับพระสังฆาธิการ

การทุจริตเงินทอนวัดยึดถือคติที่ว่า “วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง” ข้าราชการระดับสูงเที่ยวเสนองบประมาณบำรุงวัด แต่ขอหักไว้ส่วนหนึ่ง อาจจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าครึ่ง โดยอ้างว่าจะนำ “เงินทอน” ที่หักไว้ ไปช่วยเหลือวัดที่ทุรกันดารในชนบท คดีทุจริตเงินทอนวัดก่อความปั่นป่วน และกระทบถึงศรัทธาในคณะสงฆ์

...

การทุจริตเบียดบังงบประมาณแผ่นดิน ไม่จำเป็นจะต้องเป็นการทุจริตระดับร้อยล้านพันล้าน เหมือนกับคดีดังๆ ที่มีนักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นจำเลย แม้จะเบียดบังเงินค่าอาหารเด็กวันละเล็กละน้อย แต่กระทำอย่างต่อเนื่อง ยืดเยื้อยาวนาน ศาลถือเป็นคดีที่มีพฤติการณ์ร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษ.