กระทรวงเกษตรฯ ต้อนรับพี่น้องชาวประมง หารือ 3 แนวทางออก "คุ้มครองสัตว์น้ำเศรษฐกิจขนาดเล็ก" ตาม ม.57 แห่ง พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 65 นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง และนายสุธัญญ์ ฤทธิขาบ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและรับเรื่องร้องเรียน กระทรวงเกษตรฯ ต้อนรับตัวแทนกลุ่มสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย นำโดย นายปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมฯ ที่เดินทางมาพบเพื่อทวงสัญญาข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งออกประกาศกำหนดขนาดสัตว์น้ำที่ห้ามมิให้จับหรือนำขึ้นเรือประมง ตาม พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 57 ตามที่กลุ่มฯ ได้ยื่นข้อเรียกร้องไว้เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา ณ กระทรวงเกษตรฯ
นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง ได้รับมอบหมายจากนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยหลังการหารือกับพี่น้องชาวประมง ในประเด็นข้อเรียกร้องของสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงฯ ที่ให้ภาครัฐเร่งรัดกระบวนการคุ้มครองสัตว์น้ำเศรษฐกิจขนาดเล็ก ตามมาตรา 57 ของพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อแก้วิกฤติทรัพยากรประมงว่า กรมประมง ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลภารกิจในการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดความยั่งยืน ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ และได้ดำเนินการหาแนวทางจัดการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ 2563 กรมฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาการกำหนดมาตรการควบคุมการจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก เพื่อกำหนดชนิดและขนาดที่เหมาะสมของสัตว์น้ำเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเสนอหลักเกณฑ์ในการกำหนดร้อยละของสัตว์น้ำขนาดเล็กที่จะใช้กำหนดมาตรการอนุรักษ์และบริหารจัดการ ตามมาตรา 57 และ 71(2) สำหรับเป็นแนวทางในการประกาศกำหนดการจับ หรือการนำสัตว์น้ำขนาดเล็กขึ้นเรือประมง
ที่ผ่านมาในช่วงปี 2564–2565 กรมประมงนำข้อมูลจากการศึกษาของคณะทำงานไปประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องมาโดยตลอด และนำมาเสนอคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงพาณิชย์และการประมงนอกน่านน้ำไทย คณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงพื้นบ้าน ที่ประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงระดับท้องถิ่นต่างๆ อาจารย์คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ของกรมฯ แต่ยังไม่ได้ข้อยุติที่เหมาะสมที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. – 8 ก.ค. 65 กรมประมงจึงได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการควบคุมการจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก ครอบคลุมพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเล โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นกว่า 1,000 คน ทั้งจากประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน ผู้ทรงคุณวุฒิจากคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด ข้าราชการ และสมาคมประมงที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นพิจารณา คือ
...
1. กำหนดชนิดสัตว์น้ำเพื่อนำร่องกำหนดมาตรการ ได้แก่ ปลาทู-ลัง และปูม้า 2. กำหนดความยาวสัตว์น้ำขนาดเล็กที่ห้ามจับปลาทู-ลัง เท่ากับ 12 ซม. ปูม้า 6 ซม. 3. สัดส่วนของสัตว์น้ำขนาดเล็กจับได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของปริมาณสัตว์น้ำทั้งหมด โดยที่ประชุมเห็นว่ายังขาดความเหมาะสมในการออกมาตรการตามมาตรา 57 และควรศึกษาชนิดสัตว์น้ำให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทในพื้นที่ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อเกิดความชัดเจนก่อน และควรกำหนดขนาดสัตว์น้ำและไม่ขัดต่อหลักวิชาการ ต่อมาครั้งสุดท้ายกรมประมงได้เสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานมาตรการควบคุมการจับสัตว์น้ำขนาดเล็กตามมาตรา 57 ต่อที่ประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 65 โดยมีการนำเสนอข้อมูล ทั้งเรื่องของความเป็นมาในการดำเนินตามมาตรา 57 การรับฟังความคิดเห็นมาตรการในการจัดการทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับสัตว์น้ำขนาดเล็กที่บังคับใช้ในปัจจุบัน เช่น การประกาศปิดอ่าว ในช่วงฤดูกาลสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัววัยอ่อน การกำหนดห้ามมิให้อวนล้อมจับที่มีขนาดตาอวนเล็กกว่า 2.5 ซม.ทำการประมงในเวลากลางคืน เป็นต้น บทกำหนดโทษเมื่อมีการกำหนดมาตรการตามมาตรา 57 ผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดตามมาตรา 139 มีโทษปรับตามขนาดเรือ หรือ 5 เท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมงแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า มีโทษปรับต่ำสุด 10,000 บาท กรณีเรือพื้นบ้านขนาดเล็ก และสูงสุดถึง 30 ล้านบาทกรณีเรือตั้งแต่ 150 ตันขึ้นไป และถือว่าเป็นการทำการประมงโดยฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง ที่อาจถูกคำสั่งทางปกครองให้เพิกถอนใบอนุญาตและมีผลถึงการขอใบอนุญาตในรอบปีการประมงถัดไป
โดยกรมประมงได้นำเสนอมาตรการที่จะดำเนินเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรประมงต่อไป 3 แนวทาง ดังนี้ 1. โครงการนำเรือออกนอกระบบ กลุ่มเรือ 1,776 ลำ เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรประมงยั่งยืน 2. การปรับปรุงประกาศกรมประมง เรื่อง กำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนในที่จับสัตว์น้ำบางส่วนของจ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี เพื่อคุ้มครองพ่อแม่พันธุ์ และ 3. การปรับปรุงประกาศเกี่ยวกับการกำหนดขนาดตาอวน เช่น การกำหนดขนาดตาอวนทั้งผืนให้มีขนาดตาอวนไม่น้อยกว่า 4 ซม. เพื่อเป็นการลดการจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก เป็นต้น มาตรการเหล่านี้จะทำให้สามารถลดการจับสัตว์น้ำขนาดเล็กได้ในภาพรวมต่อไป
ซึ่งจากการหารือตัวแทนชาวประมง ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมให้คุ้มครองสัตว์น้ำเศรษฐกิจขนาดเล็ก โดยขอขยายพื้นที่คุ้มครองสัตว์น้ำเศรษฐกิจขนาดเล็กเพิ่มขึ้น และขอขยายระยะเวลาฤดูปิดอ่าวฝั่งอ่าวไทย เพิ่มขึ้นเป็น 60 วัน จึงจะให้มีการทำการประมงได้ ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายให้กรมประมงรับไปศึกษาข้อมูลและพิจารณาร่วมกับชาวประมงเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป.