กระแส “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” หรือ “Wellness Tourism” เริ่มเป็นที่จับตามองและได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น

น่าสนใจว่า “ประเทศไทย” เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางมาสัมผัสกับบรรยากาศและฟื้นฟูสุขภาพไปพร้อมๆกับการท่องเที่ยว

สถาบันโกลบอลเวลเนส (GWI) ประเมินว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตเฉลี่ยปีละ 8.1% สูงกว่าค่าเฉลี่ย มูลค่าโดยรวมของสาขาธุรกิจเวลเนสทั้งหมดที่เติบโตปีละ 6.4%

ถึงแม้ว่าในปี 2563 มูลค่าการตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะลดลงจากมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ทำให้มูลค่าตลาดลดลงเหลือเพียง 435,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่จากการประเมินสะท้อนว่าธุรกิจนี้จะกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด เฉลี่ยสูงถึงปีละ 20.9%

ที่สำคัญ...มูลค่าสาขานี้จะทะลุ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567

อย่าลืมว่าประเทศไทยถือได้ว่าเป็น “ศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub)” ของภูมิภาคเอเชียและก่อนการเกิดโควิด-19 เราก็มีรายได้หลักจากการเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก และในปี พ.ศ.2563 ประเทศไทยก็ถูกเลือกให้เป็นจุดหมายปลายทางติดอันดับ 2 ของโลกเลยทีเดียว

...

จากการจัดอันดับล่าสุดในปีนี้ ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่น่าเดินทางไปเยือนมากที่สุดในโลกเป็นอันดับ 4 จากผลสำรวจเกี่ยวกับแผนการท่องเที่ยวระดับโลกของวีซ่า อีกทั้ง “เกาะสมุย” ยังถูกจัดให้เป็นอันดับ 4 “Best Islands” โดยนิตยสาร DestinAsian

พุ่งเป้าไปที่ “เกาะสมุย” ต้องยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งเพชรเม็ดงามไม่เป็นสองรองภูเก็ต-หัวหิน เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีชื่อเสียงในด้านความสงบ ความสวยงามทางธรรมชาติ มีชายหาดทอดยาวเป็นแนวโค้งที่ขาวสะอาด มีผืนป่าที่ยังอุดมสมบูรณ์และมีน้ำตกที่มีชื่อเสียง

ทำให้สามารถทำกิจกรรม อาทิ ดำน้ำ เดินป่า ดูนก กิจกรรมริมชายหาด ซึ่งมีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านชาวประมง สามารถเรียนรู้วิถีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ ตามวัตถุประสงค์หลักของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ตอบโจทย์สุดๆที่จะเดินหน้าไปสู่ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

หลังสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายและ “ภาครัฐ”...“เอกชน” ได้ผ่อนคลายมาตรการการควบคุม ช่วยหนุนอุตสาหกรรม “การท่องเที่ยว” ฟื้นตัว

“เราเล็งเห็นศักยภาพในการเติบโตของตลาดธุรกิจสุขภาพ จึงได้ผนวกความร่วมมือระหว่าง BDMS Wellness Clinic ซึ่งมีความชำนาญการในด้านการดูแลสุขภาพ เวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล กับ Celes Samui ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติและทะเลที่สวยงามของเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี”

เพื่อจัดทำโครงการ BDMS Wellness Clinic Retreat ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่จะเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทยและเลือกพำนักที่เกาะสมุย ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไปที่มีทั้งความพร้อมและเวลา หรือนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่หลงใหลในความสวยงามของทะเล...ธรรมชาติของสมุย

ที่สำคัญก็คือ...คนกลุ่มนี้ต้องการดูแลร่างกาย ตรวจสุขภาพและทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ การออกกำลังกาย การทำสปา นวดไทยหรือรับประทานอาหารสุขภาพ

...

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ “หมอแอมป์” ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท (BDMS Wellness Resort) บอกว่า ด้วยปัจจัยหนุนนำข้างต้นนี้เราจึงขับเคลื่อน BDMS Wellness Clinic สู่ Wellness tourism รองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

“นักท่องเที่ยว”...ที่เข้าพักจะได้รับคำปรึกษาและการออกแบบโปรแกรมตรวจสุขภาพเฉพาะบุคคล โดยแพทย์ผู้ชำนาญการผ่านระบบเทเลเมดิซีนและออนไซต์ นับรวมไปถึงการบริการทางการแพทย์ อาทิ การตรวจสุขภาพเชิงป้องกันก่อนการเกิดโรค, การตรวจระดับวิตามิน,แร่ธาตุ, ฮอร์โมน และสารต้านอนุมูลอิสระ...

การตรวจวัดความยาวเทโลเมียร์ เพื่อดูอายุเซลล์...การตรวจรหัสพันธุกรรม ตรวจความเสี่ยงมะเร็งและความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ...การตรวจระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย...การให้วิตามินทางหลอดเลือดดำ...การออกกำลังกายเฉพาะบุคคล...โปรแกรมเพื่อการผ่อนคลายความเครียดและดูแลสุขภาพจิต

การดูแลและควบคุมน้ำหนักและโปรแกรมเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับ

...

นอกจากนี้ยังสามารถเลือกรับประทานอาหารได้หลากหลายเมนูทั้งอาหารมังสวิรัติ อาหารวีแกน อาหารที่ปราศจากกลูเตนและปราศจากผลิตภัณฑ์จากนมสัตว์ หรือ... “อาหารท้องถิ่น” ที่มีความสดใหม่ไร้สารเคมี เครื่องดื่มสุขภาพ...ที่ออกแบบจากนักกำหนดอาหาร รังสรรค์ร่วมกับเชฟมืออาชีพมากประสบการณ์

อาริญา ปราสาททองโอสถ ประธานผู้บริหารโรงแรมเซเลส สมุย เสริมว่า เราจะดูแลสุขภาพลูกค้าโดยเน้นวิธีป้องกันแทนการรักษา มีศักยภาพ มีความพร้อมทางนวัตกรรมด้านเวชศาสตร์ป้องกันและชะลอวัย ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยมีเป้าหมายกระตุ้น “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” อย่างจริงจัง

โดดเด่นด้วยการดูแลแบบละเอียด...เฉพาะบุคคล เพื่อให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละท่านและเหมาะกับการเข้ามาพักผ่อน พร้อมเติมเต็มพลังเพิ่มความสดชื่น

หมอแอมป์ บอกอีกว่า เราอยากทำโมเดลธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการพักผ่อนให้เป็น “ยูนิคอร์น” ใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคโควิด เพราะประเทศไทยเรามีศักยภาพในการส่งเสริมให้เป็นศูนย์รวมของธุรกิจนี้อย่างมาก

...

“แต่การจะทำให้ประสบความสำเร็จและกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ใครคนใดคนหนึ่งหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนทุกหน่วยงานและทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ นักวิชาการ ประชาชน เจ้าของพื้นที่หรือคนในท้องถิ่นนั้นๆ”

ที่สำคัญคือนโยบายภาครัฐที่มีส่วนส่งเสริมเติมเต็มในทุกมิติ ต้องร่วมกันคนละไม้คนละมือจริงๆ ผลักดันให้ประเทศชาติเราเป็นที่น่าดึงดูด ให้คนทั้งโลกมาท่องเที่ยว ได้รับสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจกลับไป

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง ด้วยปัจจัยหนุนเสริม ซึ่งหากพลิกไปดูข้อมูลสำรวจในปี 2561 ตัวเลขรายงานอัตราการเติบโตในธุรกิจนี้ของทวีปเอเชียสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก หรือเติบโต 33% ภายในช่วงเวลา 2 ปี จาก 194 ล้านทริป...เป็น 258 ล้านทริป และ “ประเทศไทย” ก็ติดอันดับ 4 ของเอเชีย

ตอกย้ำด้วยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยปี 2560 ไทยมี “นักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” สูงถึง 12.5 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้สูงถึง 409,000 ล้านบาท การจ้างงานสูงถึง 530,000 คน

แน่นอนว่า...การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจึงเป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญที่เข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพของ “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ให้กับประเทศ เพราะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง มีจำนวนวันพักที่ยาวนานและมีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อการท่องเที่ยวแต่ละครั้งสูงกว่านักท่องเที่ยวแบบปกติ

ภารกิจขับเคลื่อน “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” โกยรายได้เข้าประเทศจะไปถึงฝั่งฝันมากน้อยแค่ไหน นอกจากคลื่นใหญ่ “โควิด–19” แล้ว ยังเกี่ยวโยงถึงพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ภายในประเทศ.