น.ส.อังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวในงานเสวนา “ส่องมายาคติ กระบวนการยุติธรรม กับการคุกคามทางเพศ” ว่า ผู้ถูกคุกคามทางเพศมักถูกกดทับหลายชั้น โดยชั้นแรกจากการถูกล่วงละเมิด ส่งผลให้เกิดความกลัว อาย ทำลายความเป็นมนุษย์ เกิดอาการทางจิตใจ โทษตัวเอง ถูกผู้กระทำข่มขู่ แสวงหาผลประโยชน์ ชั้นที่สองจากครอบครัว คนใกล้ชิดที่อับอายจึงไม่ให้แจ้งความ หลายคนถูกหลอกจากคนรักคนใกล้ชิดจนเกิดภาวะชัตดาวน์ นิ่งไม่ต้องการต่อสู้กลับ เป็นต้น ชั้นที่สามจากกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ขั้นตอนการสอบสวน สืบสวน และการดำเนินคดี แม้กฎหมายจะแก้ไขให้คดีข่มขืนเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่สามารถยอมความได้ อายุความ 20 ปี แต่กลับผลักภาระให้ผู้เสียหายพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง พิสูจน์ความยินยอม ขณะที่เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ถูกฝึกอบรมให้มีความเข้าใจผู้เสียหาย และชั้นที่สี่จากการกระทำซ้ำของสื่อ สังคมออนไลน์ คนในชุมชน เพื่อนบ้านถูกสังคมตีตรา

ด้าน รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า จากงานวิจัยเรื่องเพศวิถีในคำพิพากษากับการลงโทษผู้เสียหายในกระบวน การยุติธรรม สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นให้เห็นจำนวนมาก เพราะอคติยังอยู่ในสังคม และยังมีความเข้าใจแบบถูกฝังหัวมาว่าผู้หญิงถูกข่มขืนเพราะการแต่งกาย ทั้งที่เป็นสิทธิที่ควรได้รับการปกป้อง อีกแง่หนึ่งคิดว่าความเหลื่อมล้ำเชิงอำนาจระหว่างชายหญิง ทำให้การคุกคามทางเพศยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เช่น กรณีนักการเมือง ผู้บริหารระดับสูงในองค์กร คุกคามทางเพศผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ เป็นต้น อีกอย่างคือปัญหากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยตามไม่ทัน ไม่เข้าใจ และการลงโทษผู้กระทำ มีคดีจำนวนมากที่ผู้เสียหายไม่สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมเยียวยาความเสียหายได้ ทางออกในการแก้ปัญหาคือรณรงค์ทำความเข้าใจในสังคม คลี่แต่ละประเด็นให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่สังคมต้องให้ความสนใจ ไม่ใช่นั่งค้นหาว่าผู้หญิงทำตัวอย่างไร แต่งตัวอย่างไร ยินยอมหรือไม่ แต่ต้องตรวจสอบคนที่เป็นผู้กระทำความผิดมากกว่า กระบวนการยุติธรรมต้องปรับตัวให้มากกว่าที่เป็นอยู่.

...