เมื่อวานนี้ผมเขียนถึง “สัญญาณดีๆ” ที่ปรากฏขึ้นในหลายๆแห่ง หลายๆที่ และหลายๆกิจกรรมทั่วประเทศไทยเราที่ล้วนทำให้ขวัญ และกำลังใจของคนไทยเราดีขึ้น
พิษจากโควิด-19 กำลังจะเริ่มซาลง ดังตัวอย่างที่ผมไปพบเห็นมาด้วยตาตนเอง ตั้งแต่โรงพยาบาลต่างๆเริ่มผ่อนคลายมาตรการ “คุมเข้ม” โควิด-19 ลงอย่างมาก...เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ผมก็เล่าด้วยว่าแวะไปศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์-เอ็มโพเรียมย่านสุขุมวิทกับหลานๆ เพื่อจะไปดูการแสดง ไดโนเสาร์ จำลอง ที่เขานำมาติดตั้งล่อใจเด็กๆ...แล้วก็พบว่า เด็กๆแห่แหนกันไปต่อคิวขี่ไดโนเสาร์ เห็นแล้วก็ปลื้มใจว่า สัญญาณดีๆน่าจะเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
รวมทั้งที่ศูนย์การค้าเดียวกันนี้ ผมก็พบว่า มีนักท่องเที่ยวมาเข้าคิวรอเข้าชมสินค้า แบรนด์เนม จำนวนมาก ซึ่งเป็นภาพที่ผมไม่มีโอกาส พบเห็นมานับปีแล้ว จึงรีบเอามาเล่าสู่กันฟังด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง
ผมยังมีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งแต่เผอิญล้นคอลัมน์ไปแล้ว จึงต้องตัดออกไป... เกี่ยวกับโรงพิมพ์เล็กๆของเพื่อนผมคนหนึ่งที่เพื่อนโทรศัพท์มาเล่าว่าเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจขาดทุนยับเยินมาตลอด เนื่องจากไม่มีงานพิมพ์เข้ามาเลย
แต่สัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง ลูกค้าบริษัทขายเครื่องอะไหล่รถยนต์จากนอกบริษัทหนึ่งที่เคยมาจ้างพิมพ์นามบัตรให้แก่พนักงานขายของเขา และได้หยุดจ้างพิมพ์ไปปีเศษๆนั้นได้หวนกลับมาจ้างใหม่อีกครั้ง
แม้จะพิมพ์เพียงไม่กี่ร้อยแผ่นและดูเหมือนเพื่อนจะได้กำไรไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น แต่เพื่อนก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีและเป็น “กำไร” แรกหลังโควิด-19 อาละวาด ที่อาจจะต้องลงบัญชีพิเศษไว้เพื่อสักการบูชา ในฐานะกำไรขวัญถุงต่อไป
...
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ผมเขียนไว้แล้ววานนี้ แต่ต้องตัดออก
เหตุที่ผมตัดสินใจหยิบประเด็นเรื่องนี้มาเขียนต่อในวันนี้ ก็เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น (จันทร์ที่ 13 มิ.ย.) นั่นเอง ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ก็ลงมาต่ำกว่า 2,000 ราย คือติดเชื้อใหม่แค่ 1,801 ราย เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ...รวมทั้งผู้เสียชีวิตก็เหลือเพียง 15 รายเท่านั้น
แสดงว่าสถานการณ์โควิด-19 หากเรากำลังเดินเข้าสู่ภาวะปกติ หรือที่ผมใช้สำนวนกำลังภายในว่า กำลัง “คืนสู่สามัญ” ทุกขณะ...
สิ่งที่จะต้องขอร้องอีกครั้งก็คือ อย่าประมาท อย่าเพิ่งรีบถอดหน้ากาก อย่าเพิ่งรีบเลิกล้างมือ และที่สำคัญขอให้ไปฉีดวัคซีนให้ครบโดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ตามทฤษฎีของกระทรวงสาธารณสุข
เพราะผมไม่แน่ใจว่าจะมีไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่...เดี๋ยวจะเหมือนคราวที่แล้วที่เราคิดว่าหมดแล้วที่ไหนได้มีเจ้าเดลตา มาจากไหนไม่ทราบเล่นเอาปั่นป่วนต่อมาอีกเป็นปีเลย แถมหนักกว่าเก่าเสียอีก
นอกจากขอร้องให้ฉีดวัคซีนและให้ช่วยกันระมัดระวัง โดยไม่ประมาทดังกล่าวแล้ว ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราทุกฝ่ายทุกหมู่เหล่าในประเทศไทย จะหันมาจับมือช่วยกันกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ทรุดลงอย่างมากให้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด
ส่งเสริมได้ก็ส่งเสริม ช่วยอะไรได้ก็ช่วย หรือร่วมมืออะไรได้ก็ร่วม... อย่างเช่น เวลารัฐขอให้คนที่ยังพอมีเงินออกมาซื้อออกมาจ่ายบ้าง ใครที่พอมีเงิน (ห้ามไปกู้เขานะครับ) ก็ให้ออกมาซื้อ มาจ่าย มาเที่ยวในทันที
หากส่งเสริมไม่ได้ ร่วมมือไม่ได้ ก็ขอให้เฉยๆไว้ อย่าออกมาทำตัว เป็นปัญหาและอุปสรรคของการฟื้นตัวอย่างเด็ดขาด
โดยเฉพาะการประท้วงรัฐบาลต่างๆ แบบรุนแรง แบบใช้อาวุธ ใช้พลุ ใช้ระเบิดทำเอง ก่อกวนยั่วยวนให้เกิดการปะทะ ดังที่กลุ่ม “ทะลุฟ้า” หันกลับมาใช้อยู่ในช่วง 2-3 วันนี้
มองในมุมขำๆ ก็อาจมองได้อย่างที่ผมบอกไว้เมื่อวานว่า นี่คือสัญญาณ กลับสู่สามัญที่แท้จริง แสดงว่าโควิด-19 ซาแน่ ม็อบถึงได้กลับมาอีก
แต่อย่าไปมองอย่างนั้นเลยครับ...เอาเป็นว่าเรามาร่วมมือร่วมใจกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศชาติกันดีกว่า
จะไล่บิ๊กตู่หรือไม่พออกพอใจจะประท้วงกันบ้างก็ไม่ว่า แต่ขอให้อยู่ในขอบข่ายกฎหมายและอย่าใช้ความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น
ขอเวลา ขอโอกาสให้แก่ประเทศไทยที่ “สลบ” ไปยาวนานได้ฟื้นตัวบ้างเถิดครับ...“บุญ” ของประเทศกำลังจะมีแล้ว ขออย่าให้ “กรรม” มาบังอีกเลย...เท่าที่ผ่าน 2-3 ปีเนี่ย กระอักกันไปทุกหย่อมหญ้า แล้วนะครับจะบอกให้.
“ซูม”