ปัจจุบันคนเมืองจำนวนไม่น้อยหันมาสนใจทำเกษตร แต่ติดขัดด้วยเรื่องพื้นที่มีจำกัด...FlexiFarm (เฟล็กซี่ฟาร์ม) นวัตกรรมการปลูกผักในตู้คอนเทนเนอร์ จึงเป็นอีกทางเลือกใหม่ล่าสุด ที่คิดค้นโดยคนรุ่นใหม่ เป็นฟาร์มเคลื่อนที่ได้โยกย้ายสะดวก ใช้พื้นที่น้อย แต่ได้ผลผลิตคุ้มค่า

“ปัจจุบันสถานการณ์ความเป็นอยู่ของเรามีความท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงคราม สภาพเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ โรคระบาด และมลภาวะที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัย 4 โดยเฉพาะเรื่องของอาหารการกิน FlexiFarm จึงถือกำเนิดขึ้น ด้วยความมุ่งหวังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ส่งเสริมความมั่นคงทางด้านอาหารให้ทุกคนเข้าถึงอาหารที่ดี มีคุณภาพ สะดวกสบาย ปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นโมเดลธุรกิจปลูกผักแบบใหม่ในตู้คอนเทนเนอร์ สามารถปรับเปลี่ยน โยกย้าย เพื่อเข้าถึงทุกพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันโดยเฉพาะในเมืองที่มีพื้นที่จำกัด พร้อมกับอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ช่วยให้สามารถบริหารจัดการระบบฟาร์มได้ง่าย ควบคุมได้ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ”

...

ยุทธพงษ์ เผ่าจินดา ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ผู้ก่อตั้ง FlexiFarm นวัตกรรมใหม่ฟาร์มเกษตรในตู้คอนเทนเนอร์ที่แปลตามตัว ‘Flexi’ หรือ ‘Flexibility’ สื่อถึงความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยน โยกย้าย เพื่อเข้าถึงทุกพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม...ด้วยขนาดของตู้คอนเทนเนอร์ กว้าง 2.5 เมตร ยาว 12 เมตร สูง 2.8 เมตร สามารถติดตั้งได้แม้ในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด และหากต้องการผลผลิตที่มากขึ้น สามารถซ้อนตู้กันได้โดยไม่ต้องใช้พื้นที่เพิ่ม

ภายในติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัย และเชื่อมโยงระบบทั้งหมดเข้ากับสมาร์ทโฟน ทำให้เจ้าของตู้คอนเทนเนอร์กลายเป็นเกษตรกรยุคดิจิทัล ที่สามารถควบคุมกระบวนการทุกอย่างได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส อาทิ สั่งเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบอัตโนมัติผ่านมือถือ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ LED พัดลม แอร์, ตั้งเวลาเปิด-ปิดล่วงหน้า, ตรวจสอบและปรับเปลี่ยนอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์แบบเรียลไทม์ ตลอดจนสั่งควบคุมการให้น้ำและปุ๋ยให้เหมาะสมกับสภาวะของพืช

ทั้งนี้ FlexiFarm มีแนวคิดและจุดเด่นสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิต 5 ด้านหลัก ได้แก่ 1.สร้างเสริมสุขภาพ เพราะผักจาก FlexiFarm มีความสด สะอาด ปลอดภัย เนื่องจากเป็นการปลูกในระบบปิด ตัดขาดจากสิ่งแวดล้อม และมลภาวะภายนอก อาทิ ฝุ่น ควัน และฝน ปราศจากแมลงรบกวน จึงไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ไร้พยาธิและเชื้อรา และด้วยการควบคุมกระบวนการปลูก ทั้งอุณหภูมิ น้ำ อากาศและแร่ธาตุตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ผักเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพ อีกทั้งยังมีรสชาติที่ดี

...

2.สร้างเสริมความมั่นคงทางอาหาร...การปลูกผักในระบบปิดทำให้สามารถคำนวณปริมาณผลผลิตที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ได้ผักสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ปราศจากภัยพิบัติที่จะทำให้พืชผลเสียหาย โดยเฉพาะความผันผวนของสภาพดินฟ้าอากาศ อีกทั้งช่วยลดโอกาสการเน่าเสียจากแบคทีเรียในกระบวนการปลูกและเก็บเกี่ยวได้ ทำให้ผักเก็บได้นานขึ้น มีผักไว้บริโภคในทุกสถานการณ์ตลอดทั้งปี

3.สร้างเสริมสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต เพราะนอกจากจะได้ผลผลิตเป็นเสบียงที่เก็บได้ใกล้ตัว เพราะสามารถยกไปตั้งใจกลางเมืองหรือแหล่งชุมชนได้ ยังสามารถต่อยอดเป็นได้ทั้งงานอดิเรกและทางเลือกสำหรับการทำธุรกิจ ผู้ปลูกสามารถคาดการณ์ผลตอบแทนการลงทุนได้ ลดปริมาณใช้น้ำ ประหยัดเวลาล้างผัก อีกทั้งสมาร์ทเทคโนโลยียังช่วยควบคุมดูแลได้จากทุกที่ทุกเวลา สามารถจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต

4.สร้างเสริมสภาพแวดล้อมที่ดี ด้วยปริมาณการใช้น้ำที่น้อยกว่าการปลูกผักแบบดั้งเดิมถึง 95% และใช้พื้นที่น้อยกว่า และ 5.สามารถสร้างเสริมการเชื่อมต่อกับชุมชน โดยเกษตรกรสามารถนำผลผลิตไปแจกจ่ายให้ชุมชนรอบข้างได้ หรือแม้กระทั่งต่อยอดให้เป็นวิสาหกิจชุมชน อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่คนในชุมชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วม ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ร่วมกัน เป็นแหล่งเรียนรู้เทคโนโลยีการปลูกผักที่ดีให้กับลูกหลานในชุมชน สนใจสอบถามได้ที่ https://flexifarmtech.com/ และ https://www.facebook.com/flexifarmtech/ หรือ : Line@FlexiFarm โทร. 08-0925-9620.

...

กรวัฒน์ วีนิล