บ๊อชลงทุนหลายพันล้านยูโรในเทคโนโลยีที่ส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน พ.ศ.2564 ปีแห่งความสำเร็จ - ปัจจัยเสี่ยงและต้นทุนที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อผลประกอบการปีปัจจุบันในภาพรวม
- ปี พ.ศ. 2564: ยอดขายรวม: 78.7 พันล้านยูโร / กำไรก่อนหักภาษี 3.2 พันล้านยูโร
ร่วมตลาดไฮโดรเจนอิเล็กโทรไลซิสที่มีมูลค่ากว่า 14 พันล้านยูโร - บ๊อชลงทุนกว่า 500 ล้านยูโร สำหรับธุรกิจใหม่ด้านนี้ภายในปี พ.ศ. 2573 - คำสั่งซื้อส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเกินหมื่นล้านยูโรครั้งแรกในประวัติการณ์
- ดร.สเตฟาน ฮาร์ตุง: “การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุดสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน”
- ดร.มาร์คุส ฟอร์ชเนอร์: “กลุ่มบริษัท บ๊อชมีผลประกอบการที่โตขึ้นท่ามกลางความท้าทายในปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา แต่แรงกดดันก็ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น”
- ฟิลิซ อัลเบรชท์: “ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ความรับผิดชอบต่อสังคมหมายรวมถึงการนำพาให้พนักงานของเราร่วมก้าวสู่ธุรกิจด้านใหม่ๆ ไปกับเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
- ดร.คริสเตียน ฟิสเชอร์: “บ๊อช มีแผนลงทุนกว่า 300 ล้านยูโร ในธุรกิจระบบปั๊มความร้อนภายในปี พ.ศ. 2568”
- รอล์ฟ นายอร์ก: “การจัดการพลังงานแบบเชื่อมต่อช่วยเปิดประตูสู่ประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงาน”
- ดร.มาร์คุส เฮย์น: “บ๊อชคือผู้ผลิตอันดับหนึ่งของระบบส่งกำลังไฟฟ้าบนท้องถนน”
สตุทท์การ์ทและเรนนิงเงน เยอรมนี - สำหรับปีงบประมาณ 2564 บ๊อช ประสบความสำเร็จในการเติบโตด้านยอดขายและผลประกอบการ แม้จะมีสภาพแวดล้อมที่มีความท้าทาย รายได้จากการขายที่เกิดจากด้านเทคโนโลยีและการบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 เป็น 78.7 พันล้านยูโร และผลประกอบการ (EBIT กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี) เพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งเป็น 3.2 พันล้านยูโร อัตรากำไร EBIT จากการดำเนินงานดีขึ้นร้อยละ 4 เทียบกับร้อยละ 2.8 ในปีก่อนหน้า ดร.สเตฟาน ฮาร์ตุง ประธานคณะกรรมการบริหารของ Robert Bosch GmbH กล่าวว่า "ผลประกอบการที่นำพาความสำเร็จในปี พ.ศ. 2564 ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับเราในขณะที่เรายังคงต้องรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทายของปีปัจจุบัน"
ความไม่แน่นอนที่สำคัญประการหนึ่งคือสงครามในยูเครนและผลกระทบจากภาวะดังกล่าว บริษัทรับผิดชอบต่อพนักงานอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกัน ก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างครอบคลุมตั้งแต่วันแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของผู้ลี้ภัย “เราส่งกำลังใจไปยังพวกเขาที่ร่วมต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และเรารับรู้ได้ถึงความกลัวของพวกเขา” ประธานกลุ่มบริษัท บ๊อช กล่าวเสริมว่าสงครามไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองได้ ในมุมมองของเขา สถานการณ์ปัจจุบันมีส่วนกดดันผู้กำหนดนโยบายและสังคมให้พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยลงและแสวงหาการพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่อย่างจริงจัง ด้วยเหตุผลนี้ เขากล่าวว่า กลุ่มบ๊อช ยังคงพยายามอย่างเป็นระบบในการลดภาวะโลกร้อน แม้จะมีสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าทายก็ตาม นอกจากนี้ ฮาร์ตุง ประกาศว่า บ๊อช จะลงทุนประมาณ 3 พันล้านยูโร ในระยะเวลาสามปีด้านเทคโนโลยีที่ส่งเสริมความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้าและไฮโดรเจน
ฮาร์ตุง เชื่อว่าสงครามจะส่งผลให้เกิดความคืบหน้าในการลดการปล่อยคาร์บอนล่าช้าในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว จะเกิดกระบวนการเร่งการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีในยุโรป “ผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้สิ่งนี้เป็นตัวชี้นำในการดำเนินการด้วยความมุ่งมั่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงจูงใจเพื่อทำให้อาคารที่มีอยู่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากขึ้น หรือในการขยายการผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างกว้างขวาง” ฮาร์ตุง กล่าว เขาเชื่อว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหนทางที่เร็วที่สุดสู่ความเป็นกลางของสภาพอากาศ หากใช้ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นั่นคือเหตุผลที่ บ๊อชกำลังขับเคลื่อนการสัญจรอย่างยั่งยืน ให้ก้าวไปข้างหน้า: ในปี 2564 ยอดขายของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเกิน 10,000 ล้านยูโรเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ดี ฮาร์ตุง เน้นย้ำว่าพลังงานไฮโดรเจนก็จำเป็นไม่แพ้กัน “นโยบายเชิงอุตสาหกรรมควรมุ่งเน้นไปที่การทำให้ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจรองรับพลังงานไฮโดรเจน” เขากล่าว “โซลูชันที่ใช้ไฟฟ้ามีความสำคัญเป็นอันดับแรก แต่โซลูชันที่ใช้ไฮโดรเจนก็จำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมมากขึ้นเช่นกัน เราต้องการทั้งสองอย่างหากเราต้องอยู่อย่างยั่งยืนบนโลกสีฟ้าของเรา” ในเวลาเดียวกัน ประธาน กลุ่มบริษัทบ๊อช ได้ประกาศว่า ในอีกสามปีข้างหน้า บริษัทจะลงทุนเพิ่มอีกกว่า หมื่นล้านยูโร ในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจทางดิจิทัล “การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลยังมีบทบาทพิเศษในด้านความยั่งยืน และโซลูชันของเราเริ่มต้นจากสมมติฐานนี้” ฮาร์ตุง กล่าวเสริม ตัวอย่างของโซลูชันดังกล่าวในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบ๊อช ได้แก่ ระบบจัดการพลังงานในบ้านอัจฉริยะ และแพลตฟอร์มพลังงานสำหรับการผลิตที่เชื่อมต่อถึงกัน
แนวโน้มปี พ.ศ. 2565: ความผันผวนสูง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย
กลุ่มบริษัท บ๊อช เพิ่มยอดขายร้อยละ 5.2 ในไตรมาสแรก “เราเริ่มต้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงต้นปี พ.ศ. 2565 ณ ปัจจุบัน เราคาดการณ์ยอดขายจะเติบโตเกินร้อยละ 6 ในรายงานประจำปีของเรา” ดร.มาร์คุส ฟอร์ชเนอร์ สมาชิกคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Robert Bosch GmbH กล่าว “อย่างไรก็ตาม เรายังเผชิญกับความผันผวนอยู่มากส่งผลให้ยากที่จะประเมินมูลค่าที่แม่นยำในปีปัจจุบันโดยรวม” จากข้อมูลของฟอร์ชเนอร์ บริษัทฯ อาจจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่คาดว่ากำไรน่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 3 ถึงร้อยละ 4 “เราแบกภาระเพิ่มขึ้นอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนด้านพลังงาน วัตถุดิบ และการขนส่ง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจโซลูชันแห่งการขับเคลื่อน (Mobility Solutions) มีแรงกดดันด้านต้นทุนสูงมาก – ราคาวัตถุดิบบางอย่างได้เพิ่มขึ้นประมาณสามเท่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 “เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและตลาดที่มีความผันผวนอย่างมาก” ฟอร์ชเนอร์ กล่าวเสริม “ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตยานยนต์ที่ต้องส่งต่อราคาที่เพิ่มขึ้น แต่ยังรวมถึงผู้ผลิตในห่วงโซ่อุปทานด้วย”
จากสถานการณ์ปัจจุบัน บ๊อช ได้ปรับความคาดหวังต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าบริษัทจะเติบโตได้เพียงไม่ถึงร้อยละ 3.5 ในปีนี้ โดยเมื่อต้นปี บริษัทฯ ยังคงคาดการณ์ไว้ประมาณ
ร้อยละ 4 การคาดการณ์ก่อนหน้านี้สำหรับการผลิตยานยนต์จำนวน 88 ล้านคันและการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบปีต่อปีอาจไม่เป็นไปตามคาด ซึ่งฟอร์ชเนอร์ประเมินจากภาวะฟื้นตัวที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรน่าในประเทศจีนและภาวะการขาดแคลนชิปอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วเขายังคงมั่นใจว่า “บ๊อชจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายในช่วงที่ยากลำบากนี้ได้ สิ่งสำคัญขณะนี้คือการมีผลิตภัณฑ์บุกเบิกและการชูกลยุทธ์ในระยะยาวที่ชัดเจน ซึ่งเรามีทั้งสองอย่าง”
พลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจน: บ๊อชลงทุนในตลาดมูลค่า 14 พันล้านยูโร
เพื่อประโยชน์ของการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ บ๊อช กำลังเข้าสู่ภาคธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจน บริษัทฯ วางแผนที่จะลงทุนกว่า 500 ล้านยูโร ในภาคธุรกิจใหม่ ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดยครึ่งหนึ่งเป็นการลงทุนเมื่อถึงเวลาเปิดตัวในตลาด ซึ่งวางแผนไว้สำหรับปี พ.ศ. 2567 "เรามีพื้นฐานกว้างๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนและต้องการพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนในยุโรป" ฮาร์ตุง กล่าว “เราคาดว่าตลาดทั่วโลกสำหรับอุปกรณ์หรือหน่วยผลิตอิเล็กโทรไลเซอร์ (electrolyzer) ที่ใช้สำหรับการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดรเจน จะมีมูลค่าประมาณ 14 พันล้านยูโร ภายในปี พ.ศ. 2573” บ๊อชจะเป็นผู้จัดจำหน่ายส่วนประกอบหลักที่เรียกว่าสแตก (stack) ซึ่งเป็นแกนหลักของระบบแยกไฮโดรเจนอิเล็กโทรไล-ซิส ซึ่งรวมเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กำลัง เซนเซอร์ และชุดควบคุมเพื่อสร้างโมดูลอัจฉริยะ ทั้งนี้ คาดว่าสแตกสำหรับการผลิตไฮโดรเจนจะเริ่มผลิตได้เร็วที่สุดในปี พ.ศ.2568
ความยั่งยืน: ความรับผิดชอบต่อสังคมระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่แหล่งพลังงานใหม่
บ๊อชสนับสนุนข้อตกลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป และตระหนักว่าตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบพิเศษในด้านความยั่งยืน ด้วยที่ตั้งบริษัทกว่า 400 แห่งทั่วโลก บ๊อช สามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 หากกล่าวถึงในแง่คุณภาพของความเป็นกลางทางคาร์บอนนั้น นับว่าบริษัทฯ มีความก้าวหน้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ บ๊อชสามารถบรรลุหนึ่งในสามของเป้าหมายการประหยัดพลังงานที่กำหนดไว้ก่อนหน้าว่าจะบรรลุได้ในช่วงปลายทศวรรษนี้ “ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องรองอีกต่อไป ต้องเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจหลักของทุกบริษัท” ฟิลิซ อัลเบรชท์ สมาชิกคณะกรรมการบริหารและผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมสัมพันธ์ Robert Bosch GmbH กล่าวถึง ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร บ๊อชครอบคลุมประเด็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ 3 ประการ “ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษาสามสิ่งนี้ให้สมดุล ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ความรับผิดชอบต่อสังคมสำหรับเราหมายถึงการนำพาพนักงานของเราก้าวเข้าสู่ภาคธุรกิจใหม่ร่วมกับองค์กรให้ได้มากที่สุด” ตามที่ อัลเบรชท์ ชี้ให้เห็น บ๊อช กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งเสริมความเป็นกลางต่อสภาพอากาศ โดยเน้นในสถานที่ซึ่งเคยผลิตระบบส่งกำลังชนิดสันดาปภายในมาก่อน โปรแกรม Reskilling และแพลตฟอร์มการจัดตำแหน่งงานภายในองค์กร หมายความว่าพนักงานกว่า 1,400 คนในกระบวนการผลิตระบบส่งกำลัง ได้งานใหม่ในสาขาต่างๆ แล้ว เช่น ซอฟต์แวร์และการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า “ภายในสิ้นปีนี้ พนักงานกว่า 2,300 คนจะทำงานเกี่ยวกับเซลล์เชื้อเพลิงเคลื่อนที่และเซลล์เชื้อเพลิงแบบไม่เคลื่อนที่ โดยเกือบทั้งหมดได้รับการคัดเลือกจากภายในบริษัท” อัลเบรชท์ กล่าว พร้อมเสริมว่า: “นี่คือการเปลี่ยนแปลง - สร้างขึ้นโดย บ๊อช บริษัทตั้งใจที่จะรับวิศวกรซอฟต์แวร์ใหม่กว่า 10,000 คนทั่วโลกในปีนี้”
เทคโนโลยีความร้อน: 300 ล้านยูโร สำหรับธุรกิจปั๊มความร้อน
“มากกว่าหนึ่งในสามของการปล่อยคาร์บอนมาจากอาคาร ดังนั้นการดำเนินการด้านสภาพอากาศจึงต้องเกิดขึ้นในบ้านของผู้คนด้วย” ดร.คริสเตียน ฟิสเชอร์ กล่าว ในฐานะรองประธานคณะกรรมการบริหารของ Robert Bosch GmbH และดูแลด้านสินค้าอุปโภคบริโภคและพลังงานและเทคโนโลยีอาคาร “การเปลี่ยนไปใช้ระบบทำความร้อนทางเลือกเริ่มต้นด้วยเครื่องปั๊มความร้อน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าสีเขียว” ข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับอาคารใหม่ทั่วโลกสะท้อนให้เห็นถึงปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างประเทศเยอรมนีเพียงประเทศเดียว ร้อยละ 65 ของระบบทำความร้อนใหม่จะต้องใช้พลังงานหมุนเวียนภายในปีพ.ศ.2567 “บ๊อชจะลงทุนเพิ่มอีก 300 ล้านยูโร ในธุรกิจปั๊มความร้อนภายในกลางทศวรรษนี้” ดร.ฟิสเชอร์ กล่าวเสริมว่า “ตลาดจะเติบโตร้อยละ 15 ถึง ร้อยละ 20 ต่อปี ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี พ.ศ. 2567 เราตั้งเป้าที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นสองเท่าของตลาด” บ๊อช ตั้งเป้าในการบุกตลาดอาคารที่มีการก่อสร้างอยู่เดิม ด้วยระบบหม้อต้มที่ใช้ก๊าซซึ่งรองรับระบบไฮโดรเจน บริษัทช่วยให้การเปลี่ยนผ่านจากระบบทำความร้อนด้วยก๊าซธรรมชาติไปเป็นระบบไฮโดรเจนง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการเชื่อมต่อและบูรณาการเข้ากับระบบอาคาร บ๊อชกำลังเข้าใกล้เป้าหมายในการสร้างส่วนแบ่งรายได้จากบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “ในธุรกิจระบบอาคาร ค่าบริการคิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด” ดร.ฟิสเชอร์ กล่าว “วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ของเรา ช่วยกำหนดรูปแบบการดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วยเทคโนโลยีและขยายธุรกิจด้านการบริการของเราเพื่อส่งเสริมซึ่งกันและกัน”
เทคโนโลยีอุตสาหกรรม: สมรรถนะของพลังงานผ่านโลกดิจิทัล
ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต บ๊อช ยกระดับการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนในโรงงานของตนเอง “กระบวนการผลิตด้านอุตสาหกรรมผ่านระบบดิจิทัลนั้นทำให้เราสามารถสนับสนุนการลงมือแก้ปัญหาสภาพอากาศได้” กล่าวโดย รอล์ฟ นายอร์ก สมาชิกคณะกรรมการบริหาร Robert Bosch GmbH ซึ่งกำกับดูแลภาคธุรกิจเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “ต้องขอบคุณเทคโนโลยีการจัดการพลังงานที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อ ด้วยสิ่งนี้ทำให้เราลดการบริโภคพลังงานแบบประจำปีด้านอุตสาหกรรมการผลิตได้โดยเฉลี่ยถึงร้อยละ 5” ด้านนโยบายการผลิตพลังงานจากวิสัยทัศน์ของอุตสาหกรรม 4.0 นั้นมีการใช้งานแล้วผ่านการบริหารโครงการของลูกค้าถึง 80 โครงการ และที่โรงงานบ๊อช อีกกว่า 120 แห่ง “ในขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทบ๊อชเริ่มปรับใช้พลังงานไฟฟ้าในเทคโนโลยีอุตสาหกรรมอีกด้วย” นายอร์ก กล่าวเสริม บริษัทฯ คาดการณ์ว่า ร้อยละ 30 ของเครื่องจักรชนิดเคลื่อนที่ได้จะใช้พลังงานไฟฟ้าภายในปี พ.ศ. 2573 ซึ่งมีนัยสำคัญว่า มูลค่าตลาดของระบบไฟฟ้าแรงสูงจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 1.5 พันล้านยูโร บ๊อชตั้งเป้าพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมของบริษัทเอง “ในโครงการที่ร่วมกับบริษัทโฟล์คสวาเก้น เรากำลังจัดตั้งบริษัทใหม่ที่จัดหาและผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในยุโรป” นายอร์ก กล่าวและเพิ่มเติมว่า “วัตถุประสงค์ของเราคือการเป็นผู้นำด้านต้นทุนและเทคโนโลยีในระบบการผลิตแบตเตอรี่ปริมาณมาก” ผู้เชี่ยวชาญได้คาดว่าเทคโนโลยีการผลิตเซลล์แบตเตอรี่จะมีมูลค่าตลาดถึง 50 พันล้านยูโรจากทั่วโลก ภายในปีพ.ศ. 2573
การเปลี่ยนผ่านสู่การขับเคลื่อนทางเลือก: ระบบส่งกำลังพลังงานไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่และเซลล์เชื้อเพลิง
บ๊อชคาดหวังว่าข้อตกลงสีเขียว (Green Deal) ของสหภาพยุโรปจะช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างชัดเจนสำหรับการสัญจรบนท้องถนน “ผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายต่างกระตือรือร้นที่จะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ดร.มาร์คุส เฮย์น สมาชิกคณะกรรมการบริหารของ Robert Bosch GmbH และประธานภาคธุรกิจโซลูชันแห่งการขับเคลื่อน กล่าว “บ๊อชมองตัวเองว่าเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งสำหรับระบบส่งกำลังไฟฟ้าบนท้องถนน” สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือการรักษาระบบส่งกำลัง รวมทั้งแบตเตอรี่ที่อุณหภูมิเหมาะสม เพื่อให้อากาศในห้องโดยสารสะดวกสบายมากขึ้น การจัดการความร้อนอัจฉริยะเพียงอย่างเดียวสามารถเพิ่มระยะการขับขี่ด้วยไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 25 เฮย์น กล่าวเสริม ณ จุดนี้ บ๊อช จึงได้พัฒนาโซลูชันแบบบูรณาการเป็นพื้นฐานไว้ก่อนหน้า ได้แก่ หน่วยจัดการความร้อนแบบยืดหยุ่นหรือ FTU ซึ่งบ๊อชเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3.5 พันล้านยูโร ภายในปลายทศวรรษนี้ สำหรับการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าโดยอาศัยเซลล์เชื้อเพลิง
บ๊อชจะเริ่มการผลิตระบบส่งกำลังชนิดเซลล์เชื้อเพลิงสำหรับรถบรรทุกในปีนี้ “สำหรับฐานการผลิตในเมืองแบมแบก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เราตั้งเป้าผลิตระบบส่งกำลังขนาดกิกะวัตต์ไม่เกินช่วงกลางของทศวรรษนี้” เฮย์น กล่าวและเสริมว่า “ภายในปีพ.ศ. 2573 การใช้งานรถบรรทุกพลังงานเซลล์เชื้อเพลิงจะต้องไม่เสียค่าใช้จ่ายมากไปกว่าดีเซล นั่นคือเป้าหมายของเรา” บ๊อชได้เพิ่มเงินลงทุนสำหรับเซลล์เชื้อเพลิงชนิดเคลื่อนที่อีกครั้ง รวมมูลค่ากว่าหนึ่งพันล้านยูโร ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2567
ปีงบประมาณ 2564: เอาชนะความท้าทาย แม้จะมีแรงกดดันด้านต้นทุน
“โดยรวมแล้ว กลุ่มบริษัทบ๊อชปรับตัวเพื่อเอาชนะความท้าทายในปี พ.ศ. 2564 ได้ดี” ฟอร์ชเนอร์ กล่าว “พวกเราสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึงร้อยละ 10.1 และเพิ่มยอดกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี จากกระบวนการผลิตได้มากกว่าร้อยละ 50” ดร.ฟอร์ชเนอร์ กล่าวเพิ่มเติม บ๊อชประสบผลสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา รวมทั้งปัจจัยการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่ยังคงประสบอย่างต่อเนื่อง และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ “นอกจากผลประกอบการเป็นที่น่าพึงพอใจ มาตรการลดต้นทุนของบริษัทที่ปรับใช้อย่างครอบคลุมก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน” ฟอร์ชเนอร์ กล่าว “วิสัยทัศน์ขององค์กรสู่อนาคตยังสะท้อนให้เห็นในผลลัพธ์ทางการเงินที่ดีของเราด้วย” ต้นทุนงานวิจัยและพัฒนาของกลุ่มบริษัทบ๊อช ทรงตัวที่ 6.1 พันล้านยูโร (ในปี พ.ศ. 2563 อยู่ที่ 5.9 พันล้านยูโร) และค่าใช้จ่ายด้านเงินทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.9 พันล้านยูโร (ในปี พ.ศ. 2563 อยู่ที่ 3.3 พันล้านยูโร) ต้นทุนการวิจัยและพัฒนาที่ผ่านมาเน้นด้านระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ เช่นเดียวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีการทำความร้อน อัตราส่วนสภาพคล่องปรับตัวดีขึ้น 1.3 จุด เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45.3
ปีงบประมาณ 2564: ผลประกอบการแบ่งตามหน่วยธุรกิจ
ทุกหน่วยธุรกิจของบ๊อชมีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้ผลประกอบการเป็นบวก ภาคธุรกิจโซลูชันแห่งการขับเคลื่อน สร้างยอดขายสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 คิดเป็นมูลค่า 45.3 พันล้านยูโร หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน การเติบโตคิดเป็นร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบจากภาวะการขาดทุนในปีก่อนหน้า หน่วยธุรกิจนี้มีผลในเชิงบวกเล็กน้อยโดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีร้อยละ 0.7 “โซลูชั่นแห่งการขับเคลื่อนประสบปัญหาการขาดแคลนชิปเป็นพิเศษ และต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ” ฟอร์ชเนอร์กล่าว “ในขณะเดียวกัน หน่วยธุรกิจนี้ได้รับเม็ดเงินลงทุนอย่างมากโดยเฉพาะด้านการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและระบบการขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสำหรับวัสดุดิบในกระบวนการผลิตและการขนส่ง” เขากล่าวเสริมว่าภาคธุรกิจเทคโนโลยีอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาดวิศวกรรมเครื่องกลที่สำคัญและสามารถที่จะเพิ่มยอดขายได้ร้อยละ 18.9 หรือคิดเป็น 6.1 พันล้านยูโรหลังปรับผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว การเติบโตนี้เทียบเท่ากับการเติบโตร้อยละ 19.4 กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีอยู่ที่ร้อยละ 8.4 จากผลประกอบการที่มีความแข็งแกร่งในปีที่แล้ว หน่วยธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคสามารถเพิ่มยอดขายได้อีกครั้ง คราวนี้อยู่ที่ร้อยละ 12.7 (หรือร้อยละ 14.4 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) โดยมียอดขายคิดเป็น 21 พันล้านยูโร ทำให้หน่วยธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยเลขสองหลักของอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (ร้อยละ 10.2) สำหรับภาคธุรกิจพลังงานและเทคโนโลยีอาคาร มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 หรือร้อยละ 8.8 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยยอดขายโดยรวมที่ 5.9 พันล้านยูโร อัตรากําไรขั้นต้นที่ดีขึ้นของหน่วยธุรกิจคิดเป็นร้อยละ 5.1 ดังที่ฟอร์ชเนอร์ ชี้ให้เห็นว่า “เทคโนโลยีความร้อนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศของเรามีส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันองค์กรให้ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดขายเหล่านั้น”
ปีงบประมาณ 2564: การเจริญเติบโตแบ่งตามภูมิภาค1
กลุ่มบริษัทบ๊อชมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค ในทวีปยุโรป บ๊อชมียอดขายทั้งหมด 41.3 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 จากปีก่อนหน้า หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนยอดขายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 ในทวีปอเมริกาเหนือ รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 (ร้อยละ 9.3 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) คิดเป็น 11.4 พันล้านยูโร สำหรับทวีปอเมริกาใต้ รายได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32 หรือร้อยละ 45.1 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และสุดท้าย ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงภูมิภาคอื่นๆ ยอดขายทั้งหมดอยู่ที่ 24.5 พันล้านยูโร ซึ่งเป็นยอดการขายที่เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 13.1 หรือ ร้อยละ 11.7 หลังปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
จำนวนพนักงานของเราในปี พ.ศ. 2564: การเติบโตทั่วภูมิภาค
ในเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. 2564 กลุ่มบริษัทบ๊อชมีพนักงานทั่วโลกถึง 402,614 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หน้าถึง 7,580 คน จำนวนอัตราการจ้างที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจาก 3 ภูมิภาคทั่วโลก ได้แก่ ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และทวีปเอเชีย จำนวนพนักงานในฐานการผลิตในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนียังคงมีจำนวนที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อัตราการจ้างอยู่ที่ 131,652 คน ในส่วนของการวิจัยและพัฒนา จำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นจากเดิม 2,949 คน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 76,121 คน