14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ หลายคนตั้งใจซื้อดอกไม้ ช็อกโกเลต หรืออะไรก็ได้ที่ต้องการสื่อให้คนรักรับรู้ความในใจ อย่างไรก็ตาม ในวันที่โลกทั้งโลกกลายเป็นสีชมพู แต่ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กลับมีเสียงระเบิดดังขึ้นตรงใจกลางเมืองย่านสุขุมวิท
โดยเมื่อเวลา 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดมากกว่า 1 ครั้ง ขึ้นที่บริเวณตู้โทรศัพท์ข้างทางภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 31-33 หน้า รร.เกษมพิทยา และริมถนนสุขุมวิท 71 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ หลังรับแจ้งเจ้าหน้าที่รุดไปที่เกิดเหตุ พบเศษซากระเบิด และเศษอิฐ กระจก กระจายเกลื่อน เจ้าหน้าที่พบร่างของชายคนหนึ่งนอนอยู่ข้างตู้โทรศัพท์สาธารณะ เป็นชาวต่างชาติ สภาพขาขาดทั้ง 2 ข้าง เลือดไหลนองพื้น ข้างตัวมีกระเป๋าเป้สีดำตกอยู่ และมีผู้บาดเจ็บเป็นคนไทยอีก 3 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท พยานระบุว่าชายต่างชาติคนดังกล่าวเป็นคนโยนระเบิดใส่ตู้โทรศัพท์ และรถแท็กซี่
ในที่เกิดเหตุยังพบลูกระเบิดอีก 1 ลูก ที่พร้อมใช้งาน เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการเก็บกู้อย่างระทึก!
...
จากการตรวจสอบทราบว่า ระเบิดที่คนร้ายซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านเช่าเกิดระเบิดขึ้น ทำให้คนร้ายทั้ง 3 คน หลบหนีออกมาจากบ้าน ภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 35 และพยายามเรียกแท็กซี่ แต่แท็กซี่ไม่จอด คนร้ายโกรธจึงโยนระเบิดใส่รถแท็กซี่จนพังเสียหาย คนขับได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายได้เดินออกไปที่หน้าโรงเรียนเกษมพิทยา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดแรก ระหว่างนั้นได้มีรถจักรยานยนต์เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจขี่ผ่านมา คนร้ายได้ปาระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ แต่ระเบิดตกลงข้างตัว ทำให้คนร้ายได้รับบาดเจ็บขาขาดทั้ง 2 ข้าง ส่วนคนร้ายอีก 2 คนได้หลบหนีไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ "คนไทย" ต้องผวาอีกครั้ง หวั่นวิตกในความปลอดภัยของตนเอง ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร หากประเทศไทยต้องประสบภัยกับการก่อการร้าย!!
ตลอดทั้งวัน ผู้นำประเทศต่างป่าวประกาศบอกประชาชนทุกคนว่า "อย่าตื่นตระหนก!" ยังไม่เกิดการก่อการร้าย หรือวินาศกรรม แต่จะให้รู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้าม
คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า หลังคนร้ายโดนระเบิดจนขาขาดกระเด็น คนร้ายได้พยายามผงกตัว เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เจ้าหน้าที่ และไทยมุง ก็ไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ เวลาผ่านไปราว 20 นาที คนร้ายได้พยายามหยิบกระจกขึ้นมาปาดคอตัวเอง นาทีนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและพยาบาล และผู้เกี่ยวข้องจึงได้เข้าไปช่วยเหลือและนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล
ตรวจสอบทราบชืิ่อคือ นายฟาอิต โมราติ อายุ 28 ปี ชาวอิหร่าน ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ช่วยเหลือจนพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่เขาจะไม่มีขาทั้งสองข้างที่เคยใช้อยู่อีกต่อไป
หลังเกิดเหตุระเบิด เจ้าหน้าที่พยายามไล่ล่า คนร้ายอีก 2 คนที่เหลือ และก็สามารถจับกุมได้สำเร็จ 1 คน คือ นายโมฮัมเหม็ด ฮาซาอี (MOHAMMAD HAZAEI) อายุ 42 ปี ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังพยายามจะหนีออกนอกประเทศ ด้วยการซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวบิน MD 3575 ไปกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
จากการตรวจค้นสัมภาระ พบลูกกระสุนซึ่งเป็นลูกเหล็ก ลักษณะกลมๆ ที่ใส่ในวัตถุระเบิด ใกล้เคียงกับชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดที่พบในที่เกิดเหตุย่านคลองตัน
ในเวลาต่อมา พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. ได้ออกมาเปิดเผยถึงการใช้ระเบิดของคนร้ายว่า เจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญเกี่ยวกับวัตถุระเบิด ได้ให้ความเห็นตรงกันว่า การก่อเหตุระเบิดนั้น มุ่งหวังที่จะสังหารตัวบุคคล มากกว่าก่อเหตุให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณในพื้นที่กว้าง ส่วนคนร้ายรายนี้ จะเคยก่อเหตุที่อื่นมาด้วยหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการสอบสวนและดำเนินการตรวจสอบอยู่
ขณะที่เรื่องที่มาของวัตถุระเบิดนั้น พล.ต.ท.วินัย กล่าวว่า ปกติแล้วระเบิดแบบซีโฟร์ จะใช้เกี่ยวกับการระเบิดหินในเมืองไทยก็หาได้ ซึ่งไม่ได้มีการต่อวงจรอะไรเลย ระเบิดแบบซีโฟร์ก็จะเป็นการเอาแก๊ประเบิดมาเสียบเข้าไปเท่านั้น ไม่ได้มีการต่อวงจรสลับซับซ้อนอะไร
ส่วนประเด็นเรื่องแม่เหล็ก ที่พบในวัตถุระเบิดของคนร้ายที่สงสัยว่า อาจเป็นชนิดเดียวกันกับที่มีผู้ใช้ก่อเหตุ โจมตีรถยนต์ของคณะทูตอิสราเอล ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อไม่นานมานี้นั้น ขณะนี้พยายามจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาความชัดเจนว่าคล้ายกันหรือไม่ และยังไม่พบว่ามีคนไทยมีส่วนเกี่ยวข้อง
สำหรับแม่เหล็กที่ตรวจพบนั้น ทางตำรวจอาจต้องประสานกับสถานทูตอิสราเอล เพื่อขอข้อมูลเหตุระเบิดโจมตีรถยนต์ของคณะทูตอิสราเอล ในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย และในกรุงทบิลิซี (Tbilisi) ประเทศจอร์เจีย เนื่องจากพบว่ามีการใช้แม่เหล็กดังกล่าวเหมือนกัน
...
มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า วัตถุระเบิดซีโฟร์ที่ตรวจสอบพบมีทั้งหมด 5 ลูก ระเบิดไปแล้ว 3 ลูก และสามารถเก็บกู้ได้ 2 ลูก โดยระเบิดแต่ละลูกมีน้ำหนักประมาณ 4 ปอนด์ ตั้งเวลาเอาไว้ 5 วินาที มีรัศมีทำลายล้าง 40 เมตร ระยะสังหาร 3-5 เมตร นอกจากนี้ยังพบว่าระเบิดแต่ละลูกมีการติดแม่เหล็กขนาดประมาณ 1 นิ้ว เอาไว้จำนวน 6 อัน เป้าประสงค์ของการติดแม่เหล็ก ก็เพื่อนำไปใช้ติดกับยานพาหนะเป้าหมายสังหารนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.วินัย ยังเผยถึงกรณีความเชื่อมโยงของกลุ่มก่อการร้ายว่าทั้งตัวบุคคล และของกลางไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ตัวบุคคลที่ก่อเหตุครั้งนี้ ยังไม่ได้ตั้งข้อหาก่อการร้าย แต่เราจะตั้งข้อหาตามพยานหลักฐานที่ตรวจพบ เบื้องต้นคือข้อหาครอบครองวัตถุระเบิด พยายามฆ่าผู้อื่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่ม จะต้องให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน แต่เชื่อว่ามีการออกหมายจับเพิ่มเติมแน่นอน
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนัก ได้รายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยอ้างถ้อยแถลงของ นายรามลี ยูซุฟ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซียว่า นายมาซูด เซดากัต ซาเดห์ ผู้ต้องสงสัยชาวอิหร่านคนที่ 3 ในคดีระเบิดในกรุงเทพฯ ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศถูกจับกุมตัวแล้วในมาเลเซีย และกำลังถูกสอบสวนอยู่ว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในประเทศไทยจริงหรือไม่ แต่ตำรวจมาเลเซียไม่เผยรายละเอียดว่า จับกุมเขาได้ที่ไหนและอย่างไร และยังไม่ระบุว่าจะส่งตัวเขาให้ทางการไทย ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่
...
ล่าสุด ศาลอาญา กรุงเทพใต้ ได้อนุมัติหมายหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด รวม 4 ราย ประกอบด้วย นายฟาอิต โมราติ อายุ 28 ปี นายโมฮัมเหม็ด คาซาอี อายุ 42 ปี ที่ถูกจับกุมได้ นายมาซูด เซดากัต ซาเดห์ อายุ 31 ปี ที่ถูกจับกุมได้ที่มาเลเซีย และ น.ส.ไลล่า โรฮานี่ อายุ 30 ปี ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกัน และเป็นผู้ติดต่อเช่าบ้านพักภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 31 ส่วนข้อหาของแต่ละรายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ต้องหาต่างวาระกัน โดยจะมีการดำเนินการส่งหมายไปยังตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล ด้วย
เรื่องเหตุลอบวางระเบิดครั้งนี้ ทำให้นานาชาติได้ประกาศเตือนประชาชนของตนเอง ที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยโดยทันที โดยเฉพาะ 2 ชาติมหาอำนาจของโลก คือ สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ได้ออกเตือนประชาชนของตัวเองให้ระมัดระวังการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยในทันที โดยระบุว่า คนร้ายมีเป้าหมายจะลอบสังหารนักการทูตของประเทศอิสราเอลในไทย อาจจะลอบวางระเบิดบนรถของทูต รวมถึงวางแผนจะระเบิดสถานทูตอิสราเอลในไทยด้วย
แถลงการณ์ออกอังกฤษ ประกาศเตือนประชาชนชาวอังกฤษ ที่กำลังท่องเที่ยว หรือวางแผนจะเดินทางมายังประเทศไทย ให้เพิ่มความระมัดระวัง หากเดินทางมาท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น อุบลราชธานี และอุดรธานี เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูง ที่อาจเกิดเหตุก่อการร้ายในจังหวัดเหล่านี้
...
ส่วน "พี่เบิ้ม" กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์ประณามเหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร พร้อมพาดพิง อิหร่านและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ตั้งข้อสังเกตเชื่อมโยงเหตุบึม ที่จอร์เจียและอินเดีย ยอมรับวิตกเหตุป่วนกำลังขยายเพิ่มขึ้นทั่วโลก
นางวิคตอเรีย นูแลนด์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงที่กรุงวอชิงตัน ประณามเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ พร้อมทั้งแสดงความวิตกกังวลว่า ความรุนแรงในลักษณะนี้กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก และบางครั้งเกี่ยวโยงกับอิหร่าน
อย่างไรก็ตาม นางนูแลนด์ ไม่ได้กล่าวโทษอิหร่านโดยตรง แต่ตั้งข้อสังเกตถึงเหตุระเบิดในอินเดียและจอร์เจีย และแผนโจมตีเป้าหมายของอิสราเอลและชาติตะวันตก ในกรุงบาคู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อเร็วๆ นี้ จนถึงระเบิดในกรุงเทพฯ ว่า เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน โดยที่อิหร่านเป็นผู้สนับสนุน และโยงใยกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์
นางนูแลนด์ เผยด้วยว่า สหรัฐฯ กำลังรอผลการสอบสวนคดีระเบิดในไทย อินเดีย และจอร์เจีย และว่าการที่ประเทศใดๆ ใช้การก่อการร้ายเป็นเครื่องมือทางนโยบายต่างประเทศ เป็นเรื่องที่น่าประณาม
ขณะเดียวกัน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ของไทย ระบุว่า ขณะนี้มีประเทศที่ออกประกาศเตือนให้ระวังเหตุรุนแรงในไทยจำนวน 10 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บราซิล และนิวซีแลนด์
ส่วนประเทศที่มีท่าทีแข็งกร้าว ทันทีคือ อิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายของการจู่โจม ซึ่งกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ออกแถลงการณ์กล่าวหาอิหร่าน-กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ อยู่เบื้องหลัง เหตุระเบิดในกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้น 1 วัน หลังเหตุระเบิดโจมตีรถยนต์ของนักการทูตอิสราเอลในกรุงนิวเดลี พร้อมประกาศลั่น จะต้องแก้แค้นกลุ่มก่อการร้ายแน่นอน
โดยนายเอฮุด บารัต รมว.กลาโหมของอิสราเอล แถลงระหว่างการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ กล่าวหาอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดในประเทศไทย โดยระบุว่า เหตุระเบิดในกรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์อีกครั้ง ว่าอิหร่าน และตัวแทนของอิหร่าน ยังคงก่อกรรมทำชั่ว ด้วยการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง และการโจมตีครั้งล่าสุดเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง อิหร่านและพันธมิตรกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน คือพวกที่ยึดมั่นในการก่อการร้าย ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของภูมิภาคและของโลก
แถลงการณ์ ซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวงกลาโหมอิสราเอล ยังระบุว่า นายบารัค เพิ่งเดินทางมาเยือนกรุงเทพฯ เมื่อวันวันอาทิตย์ที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา นอกจากนี้ เอพีเผยด้วยว่า เหตุระเบิดในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากเกิดเหตุระเบิดโจมตีรถยนต์ของนักการทูตอิสราเอลที่กรุงนิวเดลี ในอินเดียและในกรุงทบิลิซีในจอร์เจีย ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายคน และอาการสาหัส 1 คน ซึ่งอิสราเอลกล่าวหาว่าอิหร่านและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์อยู่เบื้องหลัง แต่อิหร่านปฏิเสธ
นายอิตซัค โชฮัม เอกอัครราชทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้เป้าหมายของการระเบิดในกรุงเทพฯ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สามารถประเมินจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่ผ่านมาได้ว่า อิสราเอลตกเป็นเป้าโจมตี ระเบิดที่ใช้ก่อเหตุ คล้ายกับระเบิดที่ใช้ในการโจมตี ที่กรุงนิวเดลี ของอินเดีย และกรุงทบิลิซีของจอร์เจีย เมื่อวันจันทร์ (13 ก.พ.) ทำให้สันนิษฐานว่า อาจเป็นฝีมือของเครือข่ายก่อการร้ายเดียวกัน และการจับกุมชาวอิหร่านสองคนได้ ทำให้ไม่มีข้อสงสัยเท่าไรนัก ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
นอกจากนี้ สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานอีกว่า นายโชฮัม ชี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เหมือนจะมีความเกี่ยวโยงกันใกล้ชิดระหว่างเหตุ ระเบิดในเมืองหลวง ของทั้งไทย อินเดีย และจอร์เจีย ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง และสิ่งที่วิตกคือเป้าหมายเป็นชาวอิสราเอล วิธีการลงมือและระเบิดที่ใช้เป็นแบบเดียวกัน และเป็นเครือข่ายเดียวกัน
ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของไทยบอกว่า นายโชฮัมและนักการทูตคนอื่นๆ ของอิสราเอล ตกเป็นเป้าหมายของเหตุระเบิดครั้งนี้ นายโชฮัมบอกว่า เขาดีใจที่ความพยายามก่อเหตุล้มเหลว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบลงแค่นี้ แต่หวังว่าเราจะเดินมาถูกทางแล้ว พร้อมกันนี้เขาได้ย้ำข้อกล่าวหาว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด นายโชฮัม กล่าวด้วยว่า ทางสถานทูตเพิ่มการเฝ้าระวังภัยคุกคามตั้งแต่ตำรวจไทยจับกุมชายชาวเลบานอน ได้เมื่อเดือนที่แล้ว และระบุด้วยว่าที่ผ่านมามีคำเตือนต่างๆ ออกมา แต่ทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการสอบสวนของตำรวจและทางการไทย
จากข้อมูลดังกล่าว คำถามคือ...ทำไมประเทศไทย ต้องกลายเป็นสนามรบ และถูกใช้เป็นพื้นที่ก่อเหตุ
เรื่องนี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า เป็นการเตรียมการมุ่งเป้าหมายต่อบุคคล อุปกรณ์ต่างๆ ของระเบิดไม่สามารถทำลายล้างสถานที่ขนาดใหญ่ได้ หรือมีการเตรียมการก่อวินาศกรรมแต่อย่างใด ส่วนจะเป็นการดำเนินการ ในลักษณะเชื่อมโยงกับการเหตุก่อการร้าย ที่นิวเดลี และจอร์เจีย หรือไม่นั้น กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ดังนั้นในขณะนี้ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเตรียมการก่อการร้ายในไทยหรือไม่ รวมทั้งจะเชื่อมโยงกับ นายอาตรีส ฮุสเซน สมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ หรือไม่
ขณะที่ นายถวิล เปลี่ยนสี อดีตเลขาธิการ สมช. ตั้งข้อสังเกตน่าคิดว่า ไทยเราต้องระมัดระวัง ไม่ให้ประเทศคู่ขัดแย้งมาใช้พื้นที่ในประเทศของเราเป็นพื้นที่แก้แค้น อันนี้ต้องเป็นหลัก ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ประเทศไทยเราไม่รับผิดชอบต่อโลก ในกรณีภัยก่อการร้าย แต่ประเทศเราเป็นประเทศเล็ก คงไม่มีศักยภาพมากมายนักในการรับมือ ดังนั้น ไม่ใช่เราจะปฏิเสธต่อความรับผิดชอบซะทีเดียว